หลังจากนั้น “Maldives” ก็ยังคงเป็นเพียงภาพฝันที่เกินเอื้อมมาโดยตลอด
อย่างที่ใครๆ รู้กันว่า ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอาหารบนเกาะ
เมื่อเดือน 11 ปีที่แล้ว โฆษณาของ Bangkok Airways ที่ใช้ส่วนลด 70% แลกตั๋วได้
ถ้าไปกลับมัลดีฟส์ก็ใช้แค่ 150 คะแนน (ปกติ 500 คะแนน)
และบวกเงินอีก 5,825 บาทเท่านั้น (ปกติค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับประมาณ 2x,xxx บาท)
สิ่งหนึ่งที่ต้องทำระหว่างการจอง “ตั๋วโปร” คือ “ทำใจ”
ในเมื่อทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการจองตั๋วโดยสารในราคาถูก
สรุปว่าวันนั้นกว่าเราจะจองตั๋วสำเร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ทุ่มแน่ะ ระบบก็ล่มแล้วล่มอีก แต่ไม่ย่อท้อ
สำหรับคนที่สนใจจะสมัครสมาชิก Flyer Bonus ของ Bangkok Airways
เข้าไปศึกษารายละเอียดได้ในเว็บไซด์ค่ะ
เราไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมัลดีฟส์อยู่ในหัวมากนัก รู้แต่ว่า…
เป็นประเทศที่มีเกาะเยอะมาก เป็นประเทศที่สวยมาก และค่าใช้จ่ายก็สูงมากเช่นกัน
คนส่วนใหญ่นิยมมาฮันนีมูนกันที่นี่ หรือจะเรียกว่า เกาะสวรรค์สำหรับคู่รัก เลยก็ว่าได้
คือราคาแพคเกจทัวร์จำนวน 4 วัน 3 คืนที่เกาะมัลดีฟส์ สำหรับการเดินทางคนเดียวที่เคยสอบถาม
ความอยากมามัลดีฟส์ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เพราะความเสียดายเงิน
เก็บเงินจำนวนนี้ไปเที่ยวที่อื่นได้เป็นอาทิตย์เลย
บางกอกแอร์เวย์สพาเราบินตรงจากกรุงเทพมาถึงมัลดีฟส์ ภายในเวลา 4 ชั่วโมงนิดๆ
โดยออกจากสุวรรณภูมิตอน 09.30 น. ถึงมัลดีฟส์ 11.45 น.
(เวลาที่มัลดีฟส์ช้ากว่าไทย 2 ชม.)
วินาทีที่เหยียบสนามบินอิบราฮิม นาเซอร์ หรือสนามบินมาเล ยังแปลกใจตัวเองอยู่เลยว่า
หลังจากที่ตัดใจไม่ไปมัลดีฟส์แล้ว ก็เลิกสนใจทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับที่นี่ไปเลย
แต่จู่ๆ 2 วันก่อนเดินทาง เกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจ ขอลองเช็คราคาแพคเกจอีกรอบ
หลังเปรียบเทียบอยู่ 2-3 เจ้า โดยเราบอกจำนวนวันที่ไปพัก งบประมาณที่ตั้งไว้
และเงื่อนไขต่างๆ เช่น ต้องการ transfer ด้วยเครื่องบินน้ำ (sea plane) หรือสปีดโบ้ด
ต้องการนอนบังกะโลธรรมดา หรือบังกะโลกลางน้ำ
สุดท้าย…เราตัดสินใจเลือกใช้บริการของที่นี่
เหตุผลหลักๆ เลยคือ ให้ข้อมูลละเอียดยิบ ตามทุกข้อสงสัย
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละที่ให้ฟัง ไม่เร่งรัด ไม่เร่งเร้าให้รีบตัดสินใจ
*ถ้าไป 2 คน ราคาจะถูกกว่านี้ประมาณ 10,000 บาทต่อคน
แล้วเราก็ได้ทุกสิ่งตามโจทย์ที่ตั้งไว้ในราคาแบบที่ไปถึงที่มัลดีฟส์แล้วไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก
โดยไปพักที่ Safari Island Resort
สำหรับคนไทย สามารถเข้ามัลดีฟส์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และอยู่ได้นาน 30 วัน
ก่อนวันเดินทาง เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ และใบขาเข้ามัลดีฟส์มาให้
พร้อมทั้งโทรมาบรีฟให้ฟังอีกรอบว่า
เมื่อไปถึงมัลดีฟส์ และผ่านด่าน ตม. แล้ว ให้เดินไปที่เคาน์เตอร์ของรีสอร์ท
จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปตรงจุดที่ต้องเช็คอินเพื่อดร็อปกระเป๋า
แล้วต่อรถไปยังสนามบินน้ำอีกทีหนึ่ง
(ถ้าใครเดินทางด้วยสปีดโบ้ท ก็ขึ้นเรือที่ด้านหน้าสนามบินได้เลย สะดวกสุดๆ)
การเดินทางระหว่าง “อะทอลล์” (Atoll)
หรือกลุ่มของเกาะใต้น้ำที่เรียงตัวเป็นวงแหวน เกิดจากโครงสร้างหลักที่เป็นปะการังนั้น
นอกจากจะมีเรือสปีดโบ้ทแล้ว ก็ยังมีเครื่องบินน้ำ (Seaplane)
ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเดินทางมามัลดีฟส์ในครั้งนี้
เรามานั่งรอเพื่อจะขึ้นเครื่องบินน้ำอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง
ระหว่างนี้ฝนตก ลมแรงเป็นระยะ ยังแอบหวั่นๆ อยู่ว่า
ถ้าตอนเราขึ้นเครื่องแล้วฝนยังตกอยู่ จะเป็นยังไงบ้าง เครื่องบินลำเล็กๆ อย่างนี้จะเอาอยู่มั้ย
(หากไม่ได้ซื้อแพคเกจรวมทั้งหมด ค่าโดยสารเครื่องบินน้ำไปกลับประมาณ 15,000 บาท)
เครื่องบินน้ำหรือเครื่องบินทะเล (Seaplane) คือ เครื่องบินที่ขึ้นและลงได้ในน้ำ
สามารถจุผู้โดยสารได้ประมาณ 14 ที่นั่ง
เก้าอี้แคบๆ แอร์ไม่เย็น ออกแนวอึดอัดนิดนึง
แนะนำว่า ถ้าใครจะขึ้น seaplane ให้เตรียมที่อุดหู (ear plug) ไปด้วยน่าจะดี
เพราะข้างในเสียงดังตลอดเวลา
เครื่องบินน้ำบินไม่สูงมากนัก
เรามองเห็นอะทอลล์ต่างๆ ได้จากบนนี้
กัปตันและผู้ช่วยจะเป็นคนที่ลำเลียงกระเป๋าเราขึ้นและลงเครื่องบินด้วยตัวเอง
โดยจะแวะส่งตามรีสอร์ทต่างๆ ก่อน สรุปว่าวันนั้นขึ้นๆ ลงๆ ไปซะ 7 รอบ
Safari Island Resort ที่เราพักนั้นอยู่ที่สุดท้ายเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
แต่ตอนขากลับไม่ต้องแวะรับใคร แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
ตรงส่วนที่เราพักนั้น เครื่องบินน้ำไม่สามารถไปจอดที่รีสอร์ทได้
ต้องจอดที่โป๊ะกลางทะเล แล้วมีเรือของรีสอร์ทมารับอีกที
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทนัก นั่งเรือต่อแค่ 3-5 นาทีก็ถึงแล้ว
Welcome drink เป็นน้ำส้มผสมกับน้ำอะไรสักอย่าง รสชาติแปลกๆ
แต่อากาศร้อนๆ แบบนี้ เรากินจนหมดนะ
ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ให้กรอกเอกสารสำหรับการเข้าพักนิดหน่อย
และนัดแนะเวลาที่จะไปดำน้ำตื้น กับชมพระอาทิตย์ตก
ที่ Safari Island Resort จะมีห้องพักแบบที่อยู่กลางทะเล กับแบบที่อยู่ในสวน
เราลองเช็คแล้ว ราคาต่างกันไม่เยอะมาก จึงกัดฟันเลือกพักแบบกลางทะเล
น้ำทะเลสวยใสขนาดนี้ ก็ทำให้หัวใจหวั่นไหวแล้ว
อยากจะไปถึงห้องพักเร็วๆ อยากจะโดดลงเล่นน้ำเร็วๆ
แต่ห้องพักแบบ water bungalow นี่อยู่ไกลจากล็อบบี้และห้องอาหารมาก
ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเลยล่ะ
(ที่เดินนานไม่ใช่อะไร แวะถ่ายรูปตลอดทาง และถ่ายรูปตลอด 4 วัน 3 คืนที่อยู่นี่ล่ะ)
ห้องพักแต่ละหลัง มีความเป็นส่วนตัวมากๆ เหมาะสำหรับคู่รักซะจริงๆ เลย
ที่นี่จะใช้ไม้ไผ่เป็นเฟอร์นิเจอร์หลัก เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติ
อาจจะดูไม่หรู ไม่ทันสมัยเหมือนที่พักบนเกาะอื่นๆ
ที่ห้องพักไม่มี Wi-fi นะ มีเฉพาะที่ล็อบบี้ ห้องอาหาร และสระว่ายน้ำเท่านั้น
ห้องพักกว้างมาก…..ก ขนเพื่อนมาสัก 10 คนก็ยังไม่เต็มเลย
แต่ที่นี่เค้าให้นอนได้แค่ห้องละ 2 คนเท่านั้นล่ะ
เปิดแอร์ได้ตลอด 24 ชม. มีน้ำเปล่าให้ห้องละ 2 ขวด
สำหรับคนที่ซื้อแพคเกจแบบ all inclusive ถ้าไม่พอไปขอเครื่องดื่มเพิ่มได้ที่บาร์
ตรงส่วนนี้เราคิดว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
อาจจะเรียกว่าเป็นจุดด้อยของที่นี่ก็ได้
เพราะเราเห็นของรีสอร์ทอื่น เค้าจะมีเครื่องดื่มใส่ไว้ให้เต็มตู้เย็น และเพิ่มได้ตลอด
บานกระจกรอบบ้านพัก แค่เราเปิดม่านก็จะมองเห็นทะเลสวยๆ ได้จากทุกมุมของบ้าน
ชิลด์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
หรือจะออกมานอนอาบน้ำ ชมทะเลที่ด้านนอกก็ได้
มีเตียงนอนและร่มกันแดดให้พร้อม ฟังเสียงคลื่นเพลินๆ
เบื่อแล้วก็กระโดดลงเล่นน้ำชมปะการังจากบ้านพักได้เลย
ในห้องมีเสื้อชูชีพให้ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ต้องไปขอที่ล็อบบี้
ใครเบื่อๆ อยากจะมาสปาที่นี่ก็ได้นะ
พนักงานเป็นคนไทยด้วย
อีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ตกสวยๆ
แต่เสียดายว่า ช่วงที่เราไป ท้องฟ้ามืดครึ้มเกือบตลอดเวลาเลย
จะมีแดดบ้างนิดหน่อย แต่ตอนเย็นๆ กลับมีเมฆดำมาปกคลุมซะงั้น
สำหรับห้องพักแบบในสวน แค่เดินไม่กี่ก้าว ก็ออกมาเล่นน้ำทะเลได้จากหน้าบ้านเหมือนกัน
บรรยากาศดีไปอีกแบบนะ
ระหว่างที่อยู่บนเกาะ น่าจะเดินมาที่นี่บ่อยที่สุดแล้ว
นั่นคือส่วนที่เป็นบาร์ และห้องอาหาร
ที่นี่เค้าจะมีการระบุโต๊ะไว้สำหรับห้องพักนั้นๆ เลย
พนักงานคนเดิมก็จะมาดูแลเราตลอดเวลาที่มาใช้บริการห้องอาหารนี้
ถามคุณแอน (All about Maldives) ก่อนเลยว่า มีเครื่องเทศมั้ย?
เพราะเราไม่ค่อยถูกโรคกับอาหารแขกสักเท่าไหร่ เคยไปเที่ยวโมรอคโคอยู่ 10 กว่าวัน
กินอาหารแขกตลอดเวลา จนเกิดอาการแพ้กลิ่นและรสของเครื่องเทศ
คุณแอนให้ข้อมูลแบบตรงๆ ว่า อาหารที่นี่ไม่หลากหลายมากนัก รสชาติกลางๆ
แนะนำให้เตรียมซอสแม็คกี้ หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดไปด้วยก็จะดี
แต่เราขี้เกียจเตรียม ^^ อยากชิมรสชาติอาหารมัลดีฟส์แบบแท้ๆ
สรุปว่า ไม่มีเครื่องเทศแบบที่กลัว แต่รสชาติไม่ได้ล้ำเลิศ เรียกว่า กินพออิ่มเท่านั้น
ช่วงเวลา 10.00-11.30 น. และ 15.00-17.00 น.
เป็นเวลาของอาหารว่าง จะมีพวกแซนวิชต่างๆ และเครื่องดื่ม รวมถึงค็อกเทลด้วย
เสียดายว่าเป็นคนไม่ดื่ม ได้ชิมค็อกเทลไปแค่แก้วเดียวเอง รู้สึกว่า ไม่ไหว
แต่นักดื่มทั้งหลายน่าจะชื่นชอบกันเลยล่ะ ก็เค้าเล่นกินได้ไม่อั้นขนาดนี้ ลุยเลย!
สำหรับเครื่องดื่มและค็อกเทล สามารถสั่งได้ตลอดเวลานะ
ไม่เฉพาะในมื้ออาหารเท่านั้น
แม้จะเป็นรีสอร์ทกลางทะเล แต่ที่นี่ก็มีสระว่ายน้ำเหมือนกัน
ตรงส่วนนี้มีบาร์เครื่องดื่มด้วย ว่ายน้ำไป จิบค็อกเทลไป ก็ดีไม่ใช่น้อย
เมื่อฟิลลิ่งมา งั้นก็เปิดผ้าม่านนอนเลยแล้วกัน
สมใจจริงๆ คิดว่า ชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสซึมซับบรรยากาศแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก
ดื่มด่ำกับภาพข้างหน้าให้เต็มที่
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำ ลงไปแหวกว่ายทะเลก่อนจะไปกินข้าวเช้าสักหน่อย
บอกตรง..ไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้จะได้มาอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอินเดียแบบนี้
แพคเกจที่เราซื้อมา รวมถึงกิจกรรมดำน้ำตื้นนี้ด้วย แบบนี้จะพลาดได้ไง
เรานั่งเรือออกจากรีสอร์ทมาแค่แป๊บเดียว เจ้าหน้าที่ก็สั่งให้กระโดดตู้มลงทะเลไป
เอาว่ะ โดดก็โดด
(ออกตัวแรงๆ ก่อนว่า ของจริงสวยกว่าภาพถ่ายหลายเท่ายิ่งนัก)
จำได้ว่า เรามีประสบการณ์การดำน้ำน้อยมาก เคยไปแค่ 3 ที่เอง
คือ เกาะช้าง สิมิลัน และ Green Island (ไต้หวัน)
ปะการังหนาแน่นมากๆ
แต่วันนี้โชคไม่ดี ไม่เจอเต่าทะเล ไม่เจอปลากระเบนราหูอ่ะ
สงสัยจะอยากให้เรากลับมาแก้มือแน่ๆ
เจ้าหน้าที่พาไปปล่อยทั้งหมด 2 จุด ใช้เวลาดำน้ำอยู่เกือบๆ 2 ชั่วโมง
เท่านี้ก็อิ่มเอมแล้วล่ะ
สำหรับคนที่พกกล้องถ่ายรูปใต้น้ำไปด้วย
อยากจะแนะนำว่า อย่าลืมเก็บภาพสวยๆ ใต้ท้องทะเลผ่านสายตาตัวเองบ้างนะ
กลัวจะเผลอมองผ่านจอ จ้องถ่ายรูปอย่างเดียว จนลืมมองด้วยสองตาของเราแน่ะ
ถ้าใครมาพักตั้งแต่ 5 วันเป็นต้นไป ที่รีสอร์ทมีให้เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนในเรือด้วย
หรือจะซื้อโปรแกรมออกไปกินข้าวกลางทะเลก็ได้
ตกเย็นมีอีก 1 กิจกรรมให้ทำ นั่นคือ นั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตก
แต่วันนั้นมีเมฆดำลอยมาปกคลุมตั้งแต่บ่ายๆ ยังสงสัยอยู่ว่า จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ไหนกัน
สรุปว่า เค้าพาไปตกปลากลางมหาสมุทรอินเดียจ้า
แล้วดันเป็นคนทำบาปขึ้นด้วยนะ ทั้งลำเรือ นอกจากเรากับเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทแล้ว
ไม่มีใครตกได้เลย (ซะงั้น)
มาที่นี่ลืมเรื่องเวลาไปเลย ใช้ชีวิตแบบเนิบช้า อยู่กับตัวเอง พักผ่อนเต็มที่สุดๆ
จนเมื่อคืนพนักงานมาบอกกับเราว่า
รุ่งขึ้นนัดเจอที่ล็อบบี้ตอน 09.20 น. และต้องไปขึ้น Seaplane 09.50 น. นะ
อ้าว ได้เวลากลับบ้านแล้วเหรอเนี้ย
แล้วภาพ Safari Island Resort ก็ค่อยๆ ลับออกไปจากสายตา
แต่ความทรงจำนั้นมากมายเหลือเกิน
มัลดีฟส์ ที่ใครหลายๆ คนขนานนามว่า เป็นเกาะสวรรค์สำหรับคู่รัก
แต่การมา เที่ยวมัลดีฟส์คนเดียว สำหรับเราแล้ว มันก็ไม่ได้แย่นะ
เราคิดว่า
อยู่ที่ไหนก็สุขได้ ถ้าใจเราสุข และอยู่ที่ไหนก็ทุกข์ได้ ถ้าใจเราทุกข์
ก่อนจะทิ้งภาพ “มัลดีฟส์” ให้เป็นเพียงความหลัง
อีกใจหนึ่งกลับบอกตัวเองว่า “ต้องมีครั้งต่อไปแน่อน!”
หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามกันได้ที่แฟนเพจ
https://www.facebook.com/1000MilesJourney
หรือ Line Official : @1000MilesJourney ค่ะ