ต้องบอกก่อนว่า เราเองมีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นน้อยมากๆ ทริปนี้เป็นครั้งที่ 5 เอง
ปกติก็จะวนเวียนอยู่แต่แถวไต้หวัน (ก็คนเค้าทำเพจไต้หวันนี่เนอะ ^^)
ตอนแรกวางแพลนไว้คร่าวๆ แล้วว่าจะไปเที่ยวไหนในภูมิภาคคันไซบ้าง
เอาแล้วไง รื้อแผนออกทำใหม่ทันที
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางไป Shirakawa-go ด้วย Nohi bus โดยเริ่มต้นจากเมือง Kanazawa หรือ Takayama
และเส้นทางนี้ยังสามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้อีกด้วย
แต่ด้วยความที่เราเดินทางช่วงปีใหม่พอดี และเพิ่งจะมารื้อแพลนใหม่ก่อนเดินทางไม่กี่วัน ทำให้ที่นั่งส่วนใหญ่ถูกจองเต็มหมดแล้ว
เอาแล้วสิ ในเมื่ออยากไป ต้องได้ไป!!! พลันได้ไปเจอรีวิวนี้เข้าให้ มาช่วยเราได้ทันกาลพอดี ตามไปเลยจ้าาาา
ใครมีปัญหาเรื่องจองรถบัสเข้าหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ยกมือขึ้น!!!
หลังจากที่เราได้อ่านรีวิวอันนั้นแล้ว ลองให้คนญี่ปุ่นที่บริษัทโทรไปถามที่ Kaetsuno Bus ให้หน่อยว่าจะจองที่นั่งล่วงหน้าได้มั้ย
เพราะเราไปวันปีใหม่พอดี กลัวว่าถ้าดั้งด้นเดินทางไปไกลขนาดนั้นแล้ว จะไม่มีรถขึ้นไปที่หมู่บ้าน Shirakawa-go
แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า มาเถอะ ที่นี่เป็นเส้นทางเปิดใหม่ นักท่องเที่ยวยังน้อยอยู่ รถไม่เต็มหรอก
ทริปนี้เราใช้วางแผนการเดินทางแผน Hyperdia ซึ่งมีทั้งเว็บไซต์ และ application ทำให้การเดินทางในญี่ปุ่นดูง่ายขึ้นเยอะเลย
แค่ใส่ชื่อสถานีต้นทางและปลายทางลงไป ระบบจะประมวลผลวิธีการเดินทางออกมาให้เอง
แต่ข้อสำคัญคือ ต้องรู้ชื่อสถานีก่อนนี่ล่ะ!
จริงๆ การเดินทางจาก Osaka ไป Takaoka มีด้วยกันหลายวิธี แต่เราเลือกวิธีที่คิดว่าสะดวกสำหรับตัวเองที่สุด นั่นคือ
1. นั่ง Thunderbird จาก SHIN-OSAKA → KANAZAWA ใช้เวลา 151 นาที
2. นั่งชินคันเซ็นจาก KANAZAWA → SHIN-TAKAOKA ใช้เวลา 13 นาที
3. นั่งรถไฟจาก SHIN-TAKAOKA → TAKAOKA ใช้เวลา 3 นาที (จองโรงแรมไว้ที่ Takaoka เลยต้องนั่งรถไฟไปอีกต่อหนึ่ง)
ค่าโดยสารแบบจองที่นั่งทั้งหมด 9,210JPY
สำหรับการไป Shirakawa-go ครั้งนี้ เราใช้ Japan Rail Pass (พาสใหญ่) ที่ซื้อมาจากเมืองไทย
โดยซื้อผ่านเว็บไซต์ของ KKday ทางลิงก์นี้ >>> http://bit.ly/jrpass1
ซึ่งเค้าจะส่ง voucher มาให้ถึงที่บ้านเลย เรามีหน้าที่แค่เอาไปแลกเป็น pass ตอนไปถึงญี่ปุ่นแล้วเท่านั้นเอง
เพราะทริปนี้แพลนไว้ว่าจะเที่ยวแถว Osaka , Kyoto , Kobe , Hiroshima และ Shirakawa-go
เมื่อคำนวณค่าใช้จ่าย และการใช้งานต่างๆ แล้ว ครอบคลุมกับโปรแกรมการเดินทางของเราพอดี
รวมถึงยังสามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้อีกด้วย
เพราะเราไปเที่ยวช่วงเทศกาลวันหยุดยาว จะให้ยืนบนรถไฟนานๆ ก็ไม่ไหว
หรือจะให้ไปรอลุ้นเอาข้างหน้าว่าจะมีที่นั่งรึเปล่า ก็ไม่สู้
พาสการเดินทางในญี่ปุ่นก็เป็นอีกเรื่องที่ชวนงงไม่น้อย ไม่รู้จะซื้อแบบไหนถึงจะคุ้มค่า
การวางแผนการเดินทางจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้ว่าต้องซื้อพาสแบบไหน
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Pass ชนิดต่างๆ คลิกที่นี่
วันขึ้นปีใหม่ ผู้คนในสถานีรถไฟ SHIN-OSAKA คนเยอะมากเลย
ว่าจะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถไฟซะหน่อย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคิวยาวเหลือเกิน
จนต้องทนไว้มาขึ้นบนรถไฟแทนนี่ล่ะ
รวมถึงซื้อเสบียงเอาไว้เพื่อ่ขึ้นมากินบนรถไฟด้วย เดี๋ยวต้องนั่งกันอีกยาวไป ชั่วโมงนิดๆ
หลายคนจะมาขึ้นรถบัสสาย Nohi Bus จาก KANAZAWA ไปที่ Shirakawa-go
ซึ่งถ้ามาเที่ยวช่วงเทศกาลแบบนี้ ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ เลย
เห็นว่ามีรถบัสบางรอบที่ไม่ต้องจองล่วงหน้า แต่ก็ต้องมาต่อแถวเพื่อรอลุ้นอีกทีว่ารถบัสจะเต็มมั้ย
เราไม่ชอบความเสี่ยงแบบนี้ จึงต้องนั่งชินคันเซ็นจาก KANAZAWA ต่อไปยัง TAKAOKA
เพราะมีรถบัสสาย Kaetsuno Bus ที่ให้บริการในเส้นทางไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะเหมือนกัน
ตอนที่หาข้อมูล เจอว่า Kaetsuno Bus จะเริ่มวิ่งจาก SHIN-TAKAOKA – Shirakawa-go
เราลองไปถามเจ้าหน้าที่ตรง Information Center อีกทีว่า สามารถซื้อตั๋วรถบัสล่วงหน้าได้มั้ย
เพราะพรุ่งนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ก็กลัวว่ารถบัสจะเต็มซะก่อน
แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันว่า ไม่ได้ และให้มายืนรอรถเอา
ยังไงก็ไม่เต็มหรอก เพราะเป็นเส้นทางใหม่ นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักกัน พร้อมทั้งให้ตารางเวลาเดินรถบัสมาด้วย
ถึงได้รู้ว่า จริงๆ รถบัสมันเริ่มวิ่งจาก TAKAOKA ที่เราจองโรงแรมไว้นี่นา ได้ขึ้นตั้งแต่ต้นสายอย่างนี้ ก็ดีเลย
เมื่อจองที่พักไว้ที่ TAKAOKA เราก็ต้องนั่งรถไฟไปอีกต่อนึง วันแห่งการเดินทางจริงๆ เลย
แล้วก็ได้มาเจอรถไฟสายนินจาฮาโตริ
เพราะเมือง Himi , Tayoma เป็นบ้านเกิดของ Fujiko Fujio A นักเขียนการ์ตูนเรื่องนี้
ทางเมืองเค้าก็เลยเอารูปการ์ตูนมาใส่ในรถไฟสาย Johana – Himi ซะเลย
สถานีรถไฟ TAKAOKA station เพิ่งกลับมาเปิดใช้อีกครั้งเมื่อปี 2015 นี้เอง
ยังเป็นสถานีที่ใหม่มากๆ และไม่ค่อยมีร้านค้าหรือร้านอาหารสักเท่าไหร่
ยิ่งเรามาในวันสิ้นปี – ปีใหม่ด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย เดินหาร้านอาหารอยู่ตั้งนาน
รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่มาเที่ยว Shirakawa-go ในช่วงวันปีใหม่อยู่อย่างนึงคือ
เราต้องย้ายที่พักจาก SHIN-OSAKA มาที่ TAKAOKA
เมื่อย้ายจากในเมืองมานอนนอกเมืองไกลๆๆๆๆ ค่าโรงแรมในวันสิ้นปีถูกลงตั้งเกือบ 3 พันบาทแน่ะ
ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย
โรงแรมที่เรานอนคือ Super Hotel Takaoka Ekinan ราคารวมอาหารเช้าประมาณพันกว่าบาท
มีออนเซ็นอยู่ภายในโรงแรมเลย แต่เสียดายว่ามีเหตุจำเป็นทำให้อดแช่
เมื่อต้องมาค้างคืนนอกเมือง 1 คืน เราจัดแจงแพคเสื้อผ้าใส่ถุงสูญญากาศมาด้วย
แบบนี้จะดีตรงที่ช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋า แต่ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักกระเป๋านะ อย่าเข้าใจผิด
ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กล้องถ่ายรูป และเลนส์ต่างๆ รวมกันอยู่ในเป้ใบเดียว สะพายได้สบายๆ
วันนี้เราใส่เสื้อทั้งหมด 3 ชั้น คือ Heattech ultra warm ของ Uniqlo
เสื้อลองจอนเยื่อไผ่ ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายความชื้นและเก็บกักความอุ่นได้ดี
ตัวนี้ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนไปเมืองหิมะที่ฮาร์บิ้นเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ยังใส่แล้วอุ่นอยู่เลย
และเสื้อกันหนาวขนเป็ด (จำรุ่นไม่ได้) ของ Uniqlo มาซื้อที่ญี่ปุ่นนี่ล่ะ ถูกกว่าเมืองไทยอีก
ส่วนกางเกงใส่แค่ 2 ชั้นคือ ลองจอนเยื่อไผ่ กับกางเกงที่กันลมกันน้ำได้
ส่วนรองเท้าบูทนี่ก็เพิ่งมาซื้อที่ร้าน ABC Mart ในญี่ปุ่น
คู่ที่เตรียมมามันหลายปีแล้ว เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เลยต้องถอยคู่ใหม่
รองเท้าเป็นแบบเพิ่มความอุ่น และกันน้ำ กันหิมะได้
สำหรับคนที่จะซื้อรองเท้าบูท อย่าลืมเผื่อขนาดสำหรับใส่ถุงเท้าแบบหนาด้วยนะ
เพราะถ้าไปที่หิมะหนาๆ หรือหนาวมาก ต่อให้รองเท้าบูทเพิ่มความอุ่นยังไง ก็ต้องใส่ถุงเท้าอยู่ดี
รุ่งขึ้นรีบไปรอรถบัสตั้งแต่รอบแรก คือ 08.10 น.
ซึ่งป้ายรถบัสจากอยู่ฝั่งทางออก 2 ของสถานี TAKAOKA
มองหาช่องจอดที่ 7 เอาไว้ นี่ล่ะคือที่จอดรถบัสที่จะไป Shirakawa-go
ตรงจุดนี้ไม่ค่อยมีใครมาขึ้นรถมากนัก เพราะส่วนใหญ่เค้าจะไปพักกันแถว SHIN-TAKAOKA มากกว่า
ตรงนั้นจะคึกคัก มีร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมให้เลือกเยอะเลย
แต่ของเราตัดสินใจเอาตอนจะเดินทางอยู่แล้ว ไม่มีเวลาหาข้อมูลมากนัก
อันนี้เป็นแผนที่เส้นทางของ Kaetsuno Bus เซฟเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่จะเดินทาง
สังเกตเห็นว่า สถานีต้นทางในแผนที่คือ SHIN-TAKAOKA
แต่จริงๆ แล้ว รถบัสเริ่มวิ่งตั้งแต่สถานี TAKAOKA เลย
ทั้ง 2 สถานีอยู่ไม่ไกลกัน นั่งรถแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ถ้านั่งรถไฟก็แค่ 3 นาที
แต่มันจะนานตอนรอรถนี่ล่ะ
ตารางเวลาเดินรถสาย Kaetsuno Bus ที่วิ่งระหว่าง TAKAOKA – SHIRAKAWA-GO
ได้มาจากเว็บนี้
https://www.japan-guide.com/bus/gokayama.html
ตอนวางแผนการเดินทาง อย่าลืมตรวจสอบเวลาเดินรถอีกครั้งด้วยนะ เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ค่ารถคนละ 1,800 JPY
เราเตรียมเงินให้พอดีแล้วจ่ายเป็นเงินสดบนรถเลย
หน้าตาของ Kaetsuno bus ที่จะพาเราไปหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
เป็นรถบัสคันใหญ่ นั่งสบาย มี wi-fi บนรถด้วย
นั่งรถมาไม่นาน คนขับจอดให้เข้าห้องน้ำและรับผู้โดยสารเพิ่มเติมที่สถานี JOHANA Station
ว่าแล้วก็ลงไปส่องๆ หน่อยว่า วิวทิวทัศน์แถวนี้เป็นยังไงบ้าง
เหมือนเห็นหิมะฟูๆ แล้ว
ระหว่างทาง หิมะโปรยปรายลงมาอยู่เรื่อยๆ
แอบลุ้นอยู่ว่า บนหมู่บ้านชิราคาวาโกะจะมีหิมะฟูๆ แบบนี้มั้ย
เปิดดูเว็บไซต์พยากรณ์อากาศหลายเว็บ บอกไม่ตรงกันสักอัน
ปิดมือถือ แล้วไปลุ้นเอาที่หน้างานเลยดีกว่า
นั่งรถบัสจาก TAKAOKA มาถึงชิราคาวาโกะประมาณ 2 ชั่วโมง
ผ่านเส้นทางภูเขามาหลายโค้ง จนต้องเอาหัวพิงพนักเอาไว้ กลัวจะเมารถ
คนขับขับได้ซิ่งเหลือเกิน เราก็กลัวเกิดลื่นไถล หรือเป็นอะไรขึ้นมา
แต่ในที่สุดก็มาถึงซะที
หิมะโปรยปรายต้อนรับซะตั้งแต่ตอนมาถึงเลย
เราต้องเอากระเป๋าเป้ไปฝากไว้ที่ห้องรับฝากซะก่อน อยู่ใกล้ๆ กับจุดลงรถนั่นล่ะ
ที่นี่มีป้ายภาษาไทยเขียนไว้ แสดงว่าคนไทยมาเที่ยวไม่น้อยเลยนะเนี้ย
ค่าฝากกระเป๋าขึ้นอยู่กับขนาด ของเราชิ้นเล็กๆ เค้าคิด 500 JPY
ก่อนจะเริ่มต้นเดินเที่ยวในหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
เราขอพูดถึงข้อควรปฏิบัติเวลามาเที่ยวที่มีหิมะเบบนี้หน่อยแล้วกัน
อย่างแรก คือ ควรเดินด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหิมะที่ทับถมและโดนเหยียบย่ำจนกลายเป็นพื้นน้ำแข็งลื่นๆ นี่ล่ะ
ใส่รองเท้าแบบกันน้ำ และดอกยางหนาๆ ได้เป็นดี
อย่างที่สอง คือ ไม่ควรเอามือสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อหรือกางเกงทั้งสองข้าง
เผื่อเวลาลื่นล้ม จะได้มีสองแขนช่วยบาลานซ์ตัวเองเอาไว้ เพราะถ้าล้มผิดท่านี่มีสิทธิ์แขนหักได้เลยนะ
สุดท้าย คือ ถ้าเป็นช่วงที่มีแดดออก ควรใส่แว่นกันแดดด้วย
เพราะแสงแดดที่ตกกระทบกับหิมะสีขาวๆ นี่ทำร้ายดวงตาเราได้ร้ายกาจยิ่งนัก ถ้าเผลอมองแปบเดียว ถึงกับตาพร่าได้
ถ้าคิดว่ารองเท้าที่ตัวเองใส่มาไม่น่าจะกันน้ำ กันหิมะ หรือกันลื่นได้
จะมาเช่าที่นี่ก็ได้นะ ร้านค้าอยู่ต้นๆ หมู่บ้านเลย
ค่าเช่าวันละ 500 JPY / คู่
ลืมถ่ายรูปหน้าร้านมาให้ดู แต่เค้าจะเขียนป้ายติดหน้าร้านไว้เลยว่า มีรองเท้าให้เช่า
ถ้าอยากได้รูปมุมไฮไลท์ คือ รูปหมู่บ้านชิราคาวาโกะจากมุมสูง
ก็ต้องนั่ง shuttle bus กันอีกต่อหนึ่ง
ค่ารถ 200 JPY จ่ายเป็นเงินสดบนรถเลย
จริงๆ shuttle bus มีเป็นรอบๆ แต่วันที่เราไป นักท่องเที่ยวเยอะมาก
เค้าจึงใช้วิธีถ้ารถเต็มแล้วออกเลย จากนั้นก็รอรถคันต่อไปอีกที
ในที่สุดก็ได้มาเห็นภาพหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่วาดฝันไว้
จากตรงจุดชมวิวนี้มองลงไปก็สูงอยู่เหมือนกัน
ถ้าใครอยากได้รูปหมู่บ้านแบบใกล้ๆ ต้องใช้เลนส์ซูมถ่ายเอา
อันนี้แบบดึงสุดเท่าที่ระยะเลนส์ 16-70 ของเราจะทำได้แล้ว
ถ้าใครอยากชมวิวระหว่างทาง จากหมู่บ้านด้านล่างจะเดินขึ้นมาตรงจุดชมวิวก็ได้
แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็เกือบชั่วโมงเลย
ของเรามีเวลาน้อย ต้องใช้สอยประหยัด จึงเลือกที่จะนั่ง shuttle bus ขึ้นมาดีกว่า
และสิ่งที่ไม่อยากเจอมาที่สุดในการมาเที่ยวก็คือ
หิมะตก
เพราะเวลาที่หิมะตก ฟ้ามันไม่ใส รูปที่ถ่ายออกมาจะดูหมองๆ มัวๆ
อารมณ์มันจะคล้ายๆ เวลาเราไปเที่ยวแล้วฝนตกนั่นล่ะ
อีกทั้งยังเปียกอีก ห่วงแต่กล้องกับเลนส์ที่ต้องคอยดูแลอย่างดีไม่ให้ชื้น
เราชอบเที่ยวแบบที่หิมะมันตกผ่านไปแล้ว และมีกองหิมะฟูๆ นุ่มๆ มากกว่า
“กัสโชซึคุริโอกิมาฉิ ชิราคาวาโกะ” คือชื่อเต็มๆ ของที่นี่
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหมู่บ้านมรดกโลก (World Heritage Site) จากองค์การ UNESCO ในปี 1995
ภายในหมู่บ้านมีบ้านทรงกัสโซ ที่มีความชันถึง 60 องศา คล้ายกับการพนมมือเข้าหากัน
เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักของหิมะที่ตกลงมาอย่างหนาได้ในช่วงหน้าหนาว
และวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ในการสร้างบ้าน เช่น เอาต้นหญ้าที่ปลูกในหมู่บ้านมามุงหลังคา
และตัวบ้านไม่มีการตอกตะปู เป็นต้น
บางหลังมีอายุยาวนานกว่า 250 ปีเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ ปัจจุบันนี้ยังมีคนอาศัยอยู่ด้วย
เราเดินเล่นอยู่ข้างบนสักพักแล้วก็นั่ง shuttle bus กลับลงข้างล่าง
อย่างที่บอกว่าไม่ชอบตอนที่หิมะตกเลย ฟ้าครึ้ม อากาศดูหม่นหมองตลอดเวลา
จะเห็นว่ารูปเซ็ตนี้ไม่มีตอนฟ้าใสเลยสักรูป
วันนี้อุณหภูมิประมาณ -3 องศา
ทั้งฮีทเทค ลองจอน และเสื้อกันหนาวที่ใส่มาทั้งหมด 3 ชั้น ช่วยให้เราอบอุ่น จนร้อนเลยล่ะ
h0t pack ที่เตรียมมาสำหรับมือและตัวนี่ไม่ได้เอาออกมาใช้เลย
หิมะที่ตกทับถมกันนานๆ พื้นจะกลายเป็นน้ำแข็งแบบนี้
เวลาเดินต้องเพิ่มระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะมันจะลื่นไถลได้ง่ายๆ เลย
นี่ถึงเป็นเหตุผลที่บอกว่า อย่าเดินเอามือล้วงกระเป๋าทั้ง 2 ข้าง
เพราะถ้าเกิดลื่นล้มลงไป จะทรงตัวไม่อยู่ และอาจทำให้แขนหักได้
ก่อนวันที่เราจะเดินทาง ให้ในกลุ่มเที่ยวญี่ปุ่นก็มีคนได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุนี้ด้วย
ในหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงร้านอาหารอยู่เยอะเลย
แต่เสียดายว่าเรามีเวลาน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยได้เดินสำรวจตามร้านค้าต่างๆ
ได้แต่เดินถ่ายรูปอยู่ด้านนอก
วิวสวยๆ พร้อมหิมะปกคลุมหนาๆ แบบนี้ล่ะที่ฝันเลยว่าอยากจะมาเจอที่นี่
เห็นหลายคนบอกว่า ฤดูกาลอื่นๆ ที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะก็สวยไม่แพ้กัน
เอาไว้ต้องลองหาโอกาสมาเที่ยวช่วงอื่นบ้างแล้ว
ส่วนขากลับ เราขึ้นรถเเที่ยว 14.45 น. จาก Shirakawa-go กลับไปยัง SHIN-TAKAOKA station
เพื่อนั่งชินคันเซ็นกลับไปที่โอซาก้าเหมือนเดิม ทั้งนี้เราได้จองที่นั่งล่วงหน้าเอาไว้แล้วด้วย
เพื่อจะได้แม่นใจชัวร์ๆ ว่า มีรถไฟกลับ และมีที่นั่งแน่นอน
ตอนมาขึ้นรถบัสกลับ อย่าลืมเผื่อเวลาล่วงหน้าอย่างน้อยๆ 20-30 นาทีนะ เผื่อที่นั่งเต็ม
อีกช่วงเวลาหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ก็คือ
ตอนที่จัดงาน Shirakawa-go Winter Light Up ที่เค้าจะประดับไฟภายในหมู่บ้านในเวลากลางคืน
ที่ว่าเป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้เลย
สำหรับปี 2019 จัดขึ้นในวันที่ 14/1 , 20/1 , 27/1 , 3/2 , 11/2 และ 17/2 เวลา 17.30-19.30 น.
ซึ่งจะมีการควบคุมกำหนดทั้งปริมาณคนและรถในการเข้าชมงาน ดังนั้นคนที่จะไปต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดีนะคะ
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.tiewyeepoon.com/hot-topics/news/shirakawago-lightup/
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2018.11.13