ก่อนอื่นขอบอกแบคกราวน์ก่อน ส่วนตัวไม่ใช่สายเทรกกิ้งนะ ในไทยเคยไปแค่เขาช้างเผือก ส่วนต่างประเทศเคยไปแค่ 2 ที่ คือ Everest Base Camp กับ Kashmir Great Lakes เท่านั้น ก็ยังนับว่า มือใหม่มากๆๆๆ
เส้นทางนี้ใช้เวลาในการเดินน้อย ส่วนใหญ่อยู่ที่ 6 วัน แต่มันเป็น 6 วันที่ทรหดมากๆ เพราะต้องไต่ระดับความสูงขึ้นๆ ลงๆ จาก 2,600 → 3,500 → 3,900 → 3,600 → 4,000 → 3,300 → 2,800 → 2,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล บางช่วงต้องเดินขึ้นเขาสูงติดต่อกัน 4-5 ชม. และเดินลงรวดเดียว 3-4 ชม.
สิ่งที่น่าห่วงที่สุดสำหรับคนพื้นราบอย่างเราๆ คือ โรค AMS ุหรือ Acute Mountain Sickness หรืออาการแพ้ความสูง คือ ร่างกายปรับสภาพเข้ากับสภาพอากาศที่ความสูง 2,500 เมตรขึ้นไปไม่ได้ จะมีอาการปวดหัว มึนหัว หายใจเร็ว และนอนไม่หลับ เป็นต้น และทัวร์เส้นทางนี้ส่วนใหญไม่มีวันหยุดพักปรับสภาพร่างกายด้วย ปีนั้นที่เราไป มีบางกรุ๊ปต้องกลับตั้งแต่วันที่สองที่เดินเลย เพราะมีสมาชิกเจ็บป่วยจากอาการ AMS จนเดินต่อไปไหว
*อาการ AMS ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ว่า ใครจะเป็นหรือไม่เป็น ต้องมาเจอหน้างานอย่างเดียวเลย บางคนไม่เคยเป็นมาก่อน ก็อาจจะเป็นได้ หรือบางคนเคยไปแล้ว แต่เดินเขาครั้งต่อไป อาจจะไม่เป็นก็ได้
ตลอด 5 วันที่นอนเต็นท์ ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ดังนั้นใครสายถ่ายรูป ถ่าย Vlog เตรียมแบตเตอรี่สำรองไปให้พร้อม แต่ Power Bank จะถือขึ้นเครื่องได้ ความจุต้องไม่เกิน 20000mAh (ห้ามโหลดใต้ท้องเครื่อง) ถ้าความจุมากกว่า 20000mAh แต่ไม่เกิน 32000mAh ถือขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 2 ชิ้น และต้องมีตัวหนังสือที่บอกความจุที่ชัดเจน
ห้องน้ำที่ใช้จะเป็นแบบส้วมหลุมนะ แต่มีเต็นท์สูงๆ ครอบไว้ มีเสียมเล็กๆ ไว้ให้ด้วย เวลาปลดทุกข์เสร็จแล้วก็ขุดเอาดินแถวๆ นั้นมากลบเอานี่ล่ะ ปกติเมื่อเข้าเสร็จแล้วจะเปิดผ้าเต็นท์ไว้ข้างนึง เพื่อให้รู้ว่าเต็นท์นี้ว่าง เพราะตอนที่เราเข้าต้องปิดประตูเต็นท์ทั้งสองข้าง แต่เราว่า เวลาเข้าห้องน้ำชวนเพื่อนไปด้วยกันอีกคนดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็จะได้ผลัดกันเฝ้าด้านหน้า
เส้นทางนี้มีชายแดนติดกับประเทศปากีสถาน และยังเป็นพื้นที่อ่อนไหวที่ยังมีการสู้รบกันอยู่ ซึ่งอยู่ในการดูแลของทหารอินเดีย ดังนั้นจึงตัดสัญญาณโทรศัพท์ และวิทยุสื่อสารทั้งหมด ดังนั้นถ้าใครจะมาเดินเที่ยวที่นี่ ต้องร่างกายแข็งแรงและดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง เพราะถ้าหากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาแล้ว ไม่มีโรงพยาบาล คลีนิค และไม่มีเฮลิคอปเตอร์ส่งกลับ ต้องเดินกลับเส้นทางเดิม เพื่อนั่งรถกลับเข้าเมืองอีกที หรือต้องเดินต่อไปให้จบ เพื่อกลับอีกเส้นทางนึง
ช่วงที่เราไป ที่แคชเมียร์หิมะตกหนักสุดในรอบ 30 ปี ทำให้ช่วงเดือน 7 ที่เข้าสู่หน้าร้อนแล้ว มีหิมะที่ยังไม่ละลายอยู่เยอะมาก ความยากอย่างหนึ่งของการเทรกกิ้งเส้นทาง Kashmir Great Lakes ในปีนี้คือ ต้องเดินข้ามภูเขาน้ำแข็งลูกแล้วลูกเล่า และบางช่วงที่เดินไม่ได้ ก็ต้องนั่งแล้วสไลด์เดอร์ลงเขา และคนที่ไม่มีประสบการณ์การเทรกกิ้งบนทางน้ำแข็งอย่างเรา ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา ระบมไปทั้งตัว
อาหารการกินไม่อุดมสมบูรณ์ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเทรกกิ้งทุกที่ทั่วโลกอยู่แล้ว ฉะนั้นควรเตรียม energy gel หรือ protein bar ไปด้วย และเส้นทางนี้ไม่มีร้านค้า ไม่มีน้ำดื่มขายเหมือน EBC นะ น้ำที่กินก็ตักเอาจากลำธารที่ไปกางเต็นท์นอนนั่นล่ะ ซึ่งลูกหาบเค้าจะเอามาต้มให้ก่อน แต่ยังมีตะกอนหลงเหลืออยู่เยอะมาก กลับมาค่อยกินยาถ่ายพยาธิเอา
ต้องยอมรับว่าตลอดเส้นทางนี้บรรยากาศสวยมากจริงๆ มีทั้งภูเขาหิมะ ทะเลสาบสีสวยๆ ดอกไม้ป่างามๆ อากาศที่บริสุทธิ์มากๆ ถ้าใครคิดว่าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ลุยเลยยยยยยยยย หรือถ้าใครอยากไปจริงๆ แต่คิดว่าเดินไม่ไหว เค้ามีม้าให้บริการนะ ต้องจองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
หลายคนมีคำถามว่า ร่างกายต้องฟิตประมาณไหนถึงจะไปเทรกกิ้งได้ หรือเราได้ออกกำลังกายก่อนที่จะไปเทรกกิ้งรึเปล่า อันนี้ก็ตอบยากเหมือนกันนะ ขึ้นอยู่กับความพร้อมทางร่างกายของแต่ละคนด้วย ถ้าฟิตไปก่อนจะดีมากๆ เพราะได้ฝึกความอดทนและสร้างกล้ามเนื้อให้กับร่างกายด้วย
แต่เรา….ไม่ได้ออกกำลังกายเลยสักวัน ทั้งก่อนไป Everest Base Camp และ Kashmir Great Lakes
สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ พยายามเลือกทัวร์ไทยหรือแลนด์อินเดียดีๆ นะ เพราะเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว เหมือนเราต้องฝากชีวิตไว้กับเค้า แลนด์บางเจ้าดูแลดี อาหารการกินพร้อม ตามประกบไม่ให้คลาดสายตา แต่แลนด์บางเจ้าก็เจอกันแค่ต้นทางและปลายทาง ระหว่างวันคลำหาทางเดินกันเอง (แบบเรา)
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2022.06.03