เป็นครั้งที่ 3 แล้วกับการไปเที่ยวน่าน ครั้งนี้เราเลือกบินกับแอร์เอเชีย เพราะซื้อตั๋วโปรบุฟเฟ่ต์ที่บินกี่ครั้งก็ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ และไม่น่าเชื่อว่า เที่ยวบินเต็มทั้งขาไปและขากลับเลย คิดว่าหลายๆ คนคงถวิลหาการเดินทาง หลังจากที่ต้องกักตัว หรือ work from home กันในช่วงที่โควิดระบาดหนักๆ พอเค้าเปิดให้เที่ยวได้ ก็เลยต้องออกมาปลดปล่อยอารมณ์กันบ้าง
เที่ยวบินของเรามาถึงน่านตอนสายๆ แต่กว่าจะรับรถเสร็จก็ปาเข้าไปตั้ง 11 โมงแล้ว พนักงานบอกว่า “วันนี้มีคนมาเที่ยวน่านเยอะจริงๆ ครับ ตอนเช้าผมปล่อยรถไปเกือบ 20 คันแล้ว”
เมื่อรับรถเสร็จเรียบร้อย เราตรงดิ่งเข้าเมืองไปหาข้าวกลางวันกินกันเลย จริงๆ แล้วสนามบินน่านกับตัวเมืองก็ไม่ไกลกันนะ ขับรถแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้ว สะดวกมากๆ เลย ด้วยความที่คิดว่า มาพักผ่อนนะ ไม่ได้มาเที่ยว (เอ๊ะ! ต่างกันยังไง) เราไม่ได้ทำแพลนมาเลย ไม่รู้หรอกว่า จะกินอะไร จะไปที่ไหน เรียกว่า มาแบบหัวสมองโล่งๆ แล้วลุยดุ่ยๆ เอาหน้างานเลย
ขับรถมาเจอร้าน “น้ำเงี้ยว ข้าวซอย แม่สุณี” พอดี คุ้นๆ ว่า เคยเห็นรีวิวร้านนี้อยู่เหมือนกัน ร้านนี้แล้วกัน! จอดรถแบบไม่ต้องคิดมากให้เสียเวลา และเหมือนจะเป็นร้านดังจริงๆ นั่นล่ะ สักพักมีนักท่องเที่ยวเข้าร้านมาเพียบเลย เราสั่งน้ำเงี้ยวกับข้าวซอย และไส้อั่วมากกินด้วยกัน รสชาติกลางๆ ไม่ได้เข้มข้นแบบที่เคยกิน แต่ก็ถือว่าไม่แย่ แหนมร้านนี้ก็อร่อยนะ ก่อนกลับเราแวะมาซื้ออีกรอบด้วย
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/9rcGBxGuwCd5cr669
จัดการมื้อกลางวันเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอปัวกันเลย
3 ปีที่แล้วยังทำถนนอยู่เลย ตอนนั้นเราแว้นมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนจากเมืองไปที่ปัวกัน ตอนนี้ถนนหนทางทำเสร็จเรียบร้อย ขับรถง่ายขึ้น ระหว่างทางแวะชมวิวที่ “เดอะวิวกิ่วม่วง” เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่อยู่บนเนินเขา แต่บรรยากาศเค้าไม่ธรรมดาจริงๆ มองเห็นภูเขาเขียวๆ แบบสุดลูกหูลูกตา
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/6Xd9EaCPHJGthXmb7
ช่วงที่เราไปไม่มีฝนและไม่มีแดด อากาศกำลังเย็นสบายเลย นั่งทำงานในออฟฟิศจ้องจอคอมนานๆ พอมาเจออะไรแบบนี้ก็อยากนั่งชมวิวเพลินๆ เนาะ ถ้าแถวบ้านมีบรรยากาศแบบนี้ คงจะได้แวะเวียนไปทุกอาทิตย์แน่ๆ
เป้าหมายต่อไปของเราอยู่ที่ “วัดภูเก็ต” เป็นวัดที่เราสามารถมองเห็นทุ่งนาเขียวๆ ได้จากมุมสูง
ตอนลงรูปใน IG เพื่อนก็ถามว่า อยู่น่านทำไมถึงชื่อ “วัดภูเก็ต” เราก็ไม่อยากจะทิ้งความสงสัยให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ เลยไปหาข้อมูลได้ความว่า
เค้าตั้งชื่อตามหมู่บ้านที่ชื่อว่า “หมู่บ้านเก็ต” และวัดตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งทางเหนือเรียกว่า ดอย หรือ ภู ก็เลยตั้งชื่อว่า “วัดภูเก็ต”
หายสงสัยกันแล้วนะ
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/fvsCDK4zC9qtGrbe7
มุมสูงที่ถ่ายจากบนวัดเป็นแบบนี้เลย ถ้ามาช่วงที่มีแสงแดดส่องบ้าง น่าจะได้ภาพทุ่งนาสวยกว่านี้ ตอนนี้มีเพิงร้านค้าเล็กๆ ตั้งเรียงรายกันอยู่ ช่วงที่เราไปนักท่องเที่ยวน้อยมากๆ สงสารร้านค้าจัง
เดินลงมาถ่ายรูปกับขนำน้อยที่เราเห็นจากด้านบนกันหน่อย ข้างๆ วัดเค้ามีบันไดให้เดินลงมาทุ่งนาตรงนี้ด้วย
มื้อเย็นพวกเราฝากท้องกันที่ “ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ” ร้านนี้ที่ได้ชื่อว่า พิซซ่าอร่อย และมีเมนูเกี่ยวกับเห็ดหลายอย่างเลย ช่วงระหว่างรออาหาร เราก็ถ่ายรูปบริเวณรอบๆ กันก่อน
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/H5xVjhJxe1HbuhMHA
เสียดายว่าฝนลงปรอยๆ เราก็เลยไม่ได้นั่งชมวิวกันมุมนี้ ถ้าใครไม่กินอาหาร จะแวะมาดื่มเครื่องดื่มก็ได้ และนั่งพักเพลินๆ ก็ได้
เป็นมื้อที่จัดเต็มมาก และดูเหมือนอาหารที่สั่งมานี่จะไม่มีอะไรเข้ากันเลย ^^
พิซซ่าเห็ด ปลาคังผัดฉ่า และต้มโคล้งกระดูกอ่อน
คืนวันแรกเราพักที่ “โฮมสเตย์ตานงค์” จริงๆ อยากจะมาพักตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นห้องพักเต็ม และรอบนี้ก็เกือบพลาดอีก จองได้ห้องสุดท้ายพอดี แบบไม่มีทางเลือก คืนละ 700 บาท รวมอาหารเช้า ที่นี่เข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ด้วย แต่เราไม่ได้ใช้สิทธิ์ เพราะว่าจองห้องพักไปก่อนที่โครงการจะออกมาก
FB : https://www.facebook.com/Tanonghomestay
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/TRS5utVaffkg8Kiu7
ห้องสุดท้ายแบบไม่มีทางเลือก มุมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มองไม่เห็นวิวข้างนอก เป็นเพราะจองช้าเองอ่ะเนาะ
จริงๆ ที่นี่เค้ามีห้องหลายแบบนะ ถ้าได้ห้องบนๆ มองลงมาเห็นวิวทุ่งนาก็ดี หรือจะเป็นสีเหลือง ที่ข้างหน้าเป็นแบบเปิดโล่ง นอนบนทุ่งนาสีเขียวๆ ก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน
ตอนเช้าหวังจะได้เห็นหมอกหนาๆ พร้อมแสงแดดอ่อนๆ แต่ดันได้มาแค่หมอกจางๆ แบบนี้ อย่างว่าล่ะเนาะ มันก็เหมือนชีวิตคนเรา จะสมหวังทุกอย่างไม่ได้อยู่แล้ววว
มุมกินอาหารเช้าของเรา ดูสบายๆ จริงๆ มีให้เลือกแบบมุมขันโตก และแบบมีโต๊ะให้นั่ง แต่เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการมาเที่ยวเมืองเหนือ เราก็ต้องเลือกมุมขันโตกอยู่แล้ว อาหารเช้าก็เป็นแบบเรียบเงียบค่ะ มีข้าวต้มมัดให้คนละชิ้น อร่อยดี อยากจะขอเพิ่มอีก แต่ก็เกรงใจ เพราะอันนี้พนักงานเค้าจัดมาให้ตามจำนวนคน ส่วนข้าวต้มหมูนี่เติมได้อยู่ กับผลไม้อีกนิดหน่อย
พวกเราถ่ายรูปที่รีสอร์ทต่ออีกนิดหน่อย และได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป แต่คุ้นๆ เหมือนกับว่า เคยเห็นรีสอร์ทและคาเฟ่ที่เค้าปลูกโกโก้อยู่แถวๆ ปัวนี่ล่ะ เปิด google map หาแล้ว ใกล้ๆ กับที่พักของเราพอดี แวะไปดูสักหน่อย
Cocoa Valley ที่นี่เป็นทั้งรีสอร์ทและคาเฟ่ เคยเห็นในรีวิวว่าที่นี่มีปลูกต้นโกโก้ด้วย นึกถึงตอนไปที่เมืองผิงตงของไต้หวันเลย ที่นั่นก็มีรีสอร์ท โรงงานผลิตชอคโกแลต และคาเฟ่แบบนี้เลย
เห็นเค้าบอกว่า ทุกเมนูเครื่องดื่มและขนมของ Cocoa Valley ก็ใช้ผลผลิตจากต้นโกโก้ของที่นี่ล่ะ ฉะนั้นรับรองได้ว่าเป็นของแท้แน่นอน เราชอบเมนูบราวนี่ที่สุด เข้มข้นดี แต่ติดว่า ชิ้นใหญ่ไปหน่อย มากัน 2 กิน เล่นเอาจุกเลย และชอคโกแลตโดมเป็นเมนูไฮไลท์ของที่นี่ ก็โอเคอยู่ แต่เครื่องดื่มยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/JHdnqJQH8cjV6MQ47
กินชอคโกแลตเยอะเริ่มรู้สึกเลี่ยน ได้จิ้มจุ่ม ไก่ทอดปลาร้า และส้มตำไทยของร้านปลาร้าหอม มาช่วยชีวิตพอดี เล็งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนยูเทิร์นรถไปที่ Cocoa Valley แล้ว เห็นชื่อร้านดูน่าอร่อยดี ได้แวะชิมจริงๆ ซะงั้น
พิกัดนี้เลย : https://goo.gl/maps/KXmUqSmttNgwvrTj7
เป้าหมายต่อไปของเราอยู่ที่ “สะปัน” ขาขึ้นจากปัว เราเลือกใช้เส้นทาง ปัว – บ่อเกลือ – สะปัน หรือสาย 1715 ระหว่างทางขับรถขึ้นเขามาเรื่อยๆ แต่ถนนหนทางลาดยางตลอด จัดได้ว่าถนนดีมากและขับรถง่าย เพียงแต่ว่าอย่าลืมใช้เกียร์ต่ำเอาไว้
มาถึงตรงจุดชมวิว 1715 แบบหมอกมาเต็มจนมองไม่เห็นอะไรเลย เอาวะ จอดลงไปถ่ายรูปกับป้ายสักหน่อยก็ยังดี อากาศชื้นๆ เย็นๆ แบบนี้ล่ะที่ชอบ ไม่ร้อนเหนอะแหนะ และฝนไม่ตกเฉอะแฉะ
วันที่ 2 ของทริปนี้ เรามานอนที่ “สายหมอกบอกฮัก” สะปัน ชอบบรรยากาศแบบที่สามารถชมธรรมชาติได้จากตรงที่นอนเลย คล้ายๆ กับการกางเต็นท์นอนนิดนึง แต่หรูกว่าตรงที่มีที่นอนอย่างดี และเป็นเต็นท์หลังใหญ่ครอบอีกที และมีห้องน้ำในตัวด้วย ซึ่งบ้านพักที่นี่จะมีให้เลือก 2 อย่าง คือ แบบที่ไม่มีระเบียง กับแบบที่มีระเบียง
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/saimokLoveyou
อาหารเย็นเรากินกันในที่พักเลย แต่ต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันก่อนที่จะมาถึง เพื่อที่เค้าจะได้เตรียมของทำให้ได้ จริงๆ อาหารก็มีให้เลือกหลายอย่างอยู่ แต่เราสั่ง ผัดเห็ดหอมน้ำมันหอย ไก่ทอดมะแขว่น ชุดน้ำพริกสายหมอก
บรรยากาศตอนค่ำ หลังมื้ออาหารเย็น ระหว่างทางเดินกลับไปที่ห้องพัก ส่องขึ้นไปเห็นห้องพักแบบที่ไม่มีระเบียง
ตอนเช้าๆ รีบตื่นขึ้นมา หวังจะได้ชมหมอกหนาๆ แต่แล้วก็ไม่มี เศร้าเลย
อยากจะเรียกว่ามุมมหาชนจัง คนที่มาพักที่นี่ต้องมีรูปห่มผ้าและนอนบนเตียงไม้ไผ่แบบนี้ แต่เห็นของคนอื่นเค้าถ่ายออกมาสวยๆ ทั้งนั้นเลย
ทีแรกตั้งใจว่าจะกินอาหารเช้าที่ระเบียงห้องพัก แต่ด้วยความที่ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด ทางรีสอร์ทก็เลยขอให้พวกเราลงไปกินที่ข้างล่างแทน อดได้ภาพสวยๆ แบบคนอื่นเค้าเลย
บรรยากาศระหว่างทางที่เราขับรถกลับเข้าเมือง จะเห็นหมอกลอยอยู่ไกลๆ อากาศกำลังเย็นสบาย ปิดแอร์เปิดกระจกให้ลมเย็นๆ ปะทะใบหน้า สดชื่นมากๆ
“โค้งเลข 3” ไฮไลท์ของการมาเที่ยวเมืองน่าน ที่คิดว่าเป็นเป้าหมายของทุกคนที่มาเที่ยวน่านเลย จุดนี้จะอยู่ระหว่างทางของบ่อเกลือกับสันติสุข ทีแรกเราก็กลัวจะหาไม่เจอ หรือว่าขับเลยโค้งไปซะก่อน แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องกลัวไม่เจอเลย เพราะจะมีนักท่องเที่ยวลงมาถ่ายรูปตลอดเวลา คึกคักสุดๆ
กลับลงมาในเมือง รู้สึกอากาศร้อนขึ้นทันที มื้อกลางวันเราฝากท้องไว้ที่ร้าน “เฮือนฮอม” ขึ้นเป็นร้านขายอาหารเหนือชื่อดังของเมืองน่าน รสชาติใช้ได้เลย ครั้งก่อนเรามากินข้าวซอยไปแล้ว ครั้งนี้เลยชิมอย่างอื่นบ้าง
หลังว่าแห้วกับร้านขนมหวานป้านิ่ม เพราะวันที่ไปร้านปิด ก็เลยต้องมานั่งชิลฆ่าเวลากก่อนที่จะขึ้นเครื่องกลับที่ร้าน “น.น่านคาเฟ่” เป็นร้านกาแฟที่หลายๆ คนแนะนำ เค้ามีโรงคั่วกาแฟอยู่ข้างๆ ร้านด้วย เดินเข้าไปนี่หอมกรุ่นเลย เราซื้อเมล็ดกาแฟคั่วมาชงกินเองที่บ้านด้วย หอมมากๆ
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2020.11.15