เมื่อชวนเพื่อนแล้วไม่มีใครไปด้วย เราจึงตัดสินใจซื้อทัวร์ไปคนเดียวเลย และไปรวมตัวกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ซื้อทัวร์มาเหมือนกัน พวกเราทั้งหมด 14 ชีวิตจะไปตะลุย Everest Base Camp ด้วยกันตลอด 15 วันนี้ โดยไกด์ที่เป็นเชอร์ปา 1 คน และผู้ช่วยไกด์อีก 3 คน
ทริปนี้พวกเราใช้เวลาเดินเทรกกิ้งกันทั้งหมด 11 วัน โดยแบ่งเป็นขาไป 8 วัน (รวมวันพักหรือ acclimatization day 2 วัน) และขากลับ 3 วัน ระยะทางทั้งหมด 130 กม. ซึ่งไม่เหมือนกับโปรแกรมทัวร์ที่ได้มา เพราะต้องเพิ่มวันพักจาก 1 วันเป็น 2 วัน เนื่องจากไกด์เล็งเห็นแล้วว่า มีสมาชิกในกลุ่มมีอาการจากโรค AMS หรือ Acute Mountain Sickness หรืออาการแพ้ที่สูง ซึ่งจะมีอาการเมื่อขึ้นไปที่สูงมากกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อาการส่วนใหญ่คือ ปวดหัว นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว
เกริ่นนำมาซะตั้งนาน มาเข้าเรื่องเกี่ยวกับรีวิวนี้กันดีกว่า พอดีโพสต์ลงใน FB ส่วนตัวกับเพจว่าเพิ่งกลับจาก Everest Base Camp หลายๆ คนเรียกร้องให้เขียนรีวิวด้วย และเมื่อ “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” ถ้าอย่างนั้นก็ขอเริ่มต้นรีวิวจากแนวทางถนัดคือเรื่องของกินก่อนเลย จริงๆ ที่ถ่ายรูปมานี่ไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเลยนะ ฉะนั้นข้อมูลอาจจะไม่ครบถ้วนนัก เอาเป็นว่า ดูเป็นแนวทางสำหรับคนวางแผนจะไป Everest Base Camp หรือถ้าใครที่ไม่คิดจะไปก็เลื่อนดูผ่านๆ เอานะจ๊ะ อาหารที่อยู่ในรีวิวนี้ บางจานก็ถ่ายของเพื่อนร่วมทริปนะคะ ไม่ได้กินคนเดียวทั้งหมด
เริ่มต้นที่อาหารมื้อแรก
ตามโปรแกรมเดิมคือเราต้องนั่งเครื่องบินเล็กจากเมืองกาฐมาณฑุ (Kathmandu) ไปลุคลา (Lukla) แต่ช่วง 4 ทุ่ม – 8 โมงเช้าเค้าปิดสนามบินเพื่อต่อเติม เราจึงเปลี่ยนไปขึ้นที่สนามบิน Ramechhap แทน โดยนั่งรถไปจากกาฐมาณฑุอีก 4-5 ชม. เท่ากับว่าต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 1 เลย ทางโรงแรมเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆ ไว้ให้ ไกด์เอามาแจกตอนให้ที่เรากำลังรอขึ้นเครื่องบินเล็ก
เปิดออกมาถึงกับผงะ พร้อมกับถามตัวเอง “เราต้องเริ่มทำตัวให้กินง่ายอยู่ง่ายตั้งแต่วินาทีนี้แล้วใช่มั้ย”
มาถึงสนามบิน Ramechhap ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ทีแรกเห็นฟ้าใสๆ นึกว่าจะได้บินเลย ที่ไหนได้อีกสักพักฝนเริ่มเทกระหน่ำ เราต้องนั่งรอนอนรอในสนามบินเล็กๆ จนถึงเที่ยง ไกด์พาไปกินข้าวใกล้ๆ กับสนามบิน
ว่าแล้วลองอาหารประจำชาติเนปาลสักหน่อย “Dal Bhat” (ดาลบัต) หลักๆ จะมีข้าวกับซุปถั่ว และผัดผักกับมันฝรั่ง คนเนปาลเค้าจะเอาทุกอย่างมาคลุกรวมกันแล้วเปิบด้วยมือ แต่ทางเราไม่สามารถเข้าถึงได้ขนาดนั้น ขอใช้ช้อนก่อนแล้วกัน ตัวซุปถั่วจะรสชาติเค็มนิดๆ และผัดผักใส่เครื่องเทศนิดหน่อย ถือว่าโอเคสำหรับคนแพ้กลิ่นเครื่องเทศอย่างเรา ตอนกินใกล้เสร็จ เค้ามีแป้งบางๆ เอาไปย่างหรือทอดกรอบๆ ด้วย ไม่รู้เรียกว่าอะไร จริงๆ ต้องเสิร์ฟมาพร้อมกันนั่นล่ะ
ด้วยความที่คนเนปาลทำอาหารช้ามากกกกกกกกก เที่ยงนี้ไกด์จึงให้เลือกแค่ 2 เมนู เพราะจะได้ทำง่ายหน่อย และได้กินเร็วขึ้น นี่ขนาดแค่ 2 เมนูนี้นะ แต่พวกเรารอกันเกือบชั่วโมงเลย
ถ้าใครไม่เลือกดาลบัตที่เป็นข้าวสวย ก็จะเป็นแป้งทอดแบบนี้ แต่ไม่มีซุปถั่ว เปลี่ยนเป็นมันฝรั่งทอดแทน ลองชิมของเพื่อนร่วมทริปนิดนึง เอาแป้งทอดมาจิ้มกับซุปถั่วของเราก็อร่อยไปอีกแบบ
ทีแรกนึกว่าวันนี้จะหมดหวังไม่ได้ไปต่อซะแล้ว แต่ตอนกินข้าวอยู่ดีๆ โทรศัพท์มือถือของไกด์ก็ดังขึ้น ได้ความว่า ให้พวกเรารีบกลับไปที่สนามบินเป็นการด่วน บ่ายนี้พร้อมบินแล้ว
ในที่สุดเราก็ได้มาถึงสนามบินลุคลา (Lukla Airport) สนามบินที่ติดอันดับอันตรายที่สุดในโลก และเพิ่งมีข่าวเครื่องบินเล็กชนกับเฮลิคอปเตอร์จนมีคนตายไปเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมานั่นล่ะ
ต่อไปนี้เราจะเข้าสู่เส้นทางในฝันของนักเดินทางหลายๆ คนกันแล้ว — Everest Base Camp
ลืมบอกไปว่า ค่าอาหารบนเขาแพงมากๆๆๆๆ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า การขนส่งมันยากลำบาก ถ้าไม่ใช่ลูกหาบ ก็จะเป็นพวกจามรี (Yak) ม้า หรือล่อ เป็นต้น ฉะนั้นถ้าใครจะไปเทรกกิ้งที่นี่ อย่าลืมเตรียมค่าอาหารไปเยอะๆ นะ 11 วันบนเขา เราใช้เงินไปประมาณ 15,000 – 17,000 บาท เพราะต้องจ่ายค่าอาหาร + น้ำดื่มเองทุกมื้อ และราคาจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความสูงที่เดินขึ้นไป
ตรงส่วนห้องอาหารของที่พักบนเขาส่วนใหญ่จะหน้าตาแบบนี้ คือ เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ และมีโต๊ะรอบล้อม ตรงกลางจะเป็นฮีทเตอร์ (Heater) ซึ่งจะให้ความร้อนด้วยมูลของสัตว์ต่างๆ ตอนกลางคืนพวกเราชอบมานั่งรวมตัวกันตรงนี้ เพราะอุ่นดี วันไหนที่มีแต่กลุ่มของพวกเรา ก็จะนั่งกระจายๆ กันไป แต่ถ้าวันนั้นที่ลูกค้าเยอะหน่อย พวกเราก็อบอุ่นเป็นพิเศษ มีเก้าอี้เสริมให้นั่งหันหน้าเข้าหากัน
ช่วงแรกๆ ยังมีแรง ก็จะขยันถ่ายรูปอาหารหน่อยนะ ถ่ายทั้งของตัวเองและของเพื่อนร่วมทริปด้วย แต่หลังๆ นี่ เริ่มรู้สึกว่า เมนูอาหารมันเหมือนๆ กันไปหมด บางมื้อก็จะไม่ได้ถ่ายรูปไว้
มาถึงเนปาลแล้ว จะไม่ชิม Momo ได้ยังไง ลักษณะคล้ายๆ กับเกี๊ยวซ่าของจีนและญี่ปุ่นนั่นล่ะ ถ้าเป็นที่ล่างๆ หน่อย ยังจะมี momo ที่เป็นไส้เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ และควายอยู่ แต่ถ้าขึ้นไปที่สูงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นไส้ผักแล้วนะ
momo ของที่นี่จะมีทั้งแบบนึ่งและแบบทอด ซึ่งความอร่อยก็แตกต่างกันไปตามแต่ละร้าน ส่วนใหญ่ที่เรากิน จะแป้งเยอะกว่าไส้ ทีแรกไม่กล้าสั่งแบบทอด กลัวว่าเค้าจะทอดแบบอมน้ำมันแล้วจะกินไม่ได้ แต่มีอยู่วันหนึ่งได้ชิมของเพื่อนร่วมทริป เออ..แบบทอดก็อร่อยดีเหมือนกัน
Korean Noodle Soup หรือแปลง่ายๆ ว่า มาม่าเกาหลี เป็นอีกหนึ่งเมนูที่กินบ่อยมากกกกกก เพราะเวลาเดินเหนื่อยๆ เราก็อยากกินอะไรร้อนๆ เนาะ ทีแรกนึกว่าจะได้ชิมรสชาติเผ็ดร้อนแบบมาม่าเกาหลีที่เคยกิน แต่ที่ไหนได้ เหมือนกันต้มทีหลายๆ ห่อ และใส่น้ำเยอะเกินไป ความแซ่บก็เลยเปลี่ยนเป็นความจืดซะงั้น
มักกะโรนีซอสมะเขือเทศโรยชีส พวกเราเข้าใจกันเองว่าเป็นชีสที่ทำจากนมจามรีตัวเมีย หรือที่เรียกว่า Nak Cheese แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วทำจากอะไร ซึ่งรสชาติจะเค็มๆ มันๆ และเมื่อไหร่ที่กินชีส จะรู้สึกว่าอิ่มท้องดี
ด้วยความที่เนื้อสัตว์บนเขาเป็นของหายาก เพราะบนเขาเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เค้าจะไม่ฆ่าสัตว์กัน ดังนั้นอาหารของพวกเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นแป้งๆ ผักๆ แบบนี้ล่ะ แต่ยิ่งสูงขึ้นไป อากาศยิ่งหนาว และการขนส่งยิ่งลำบาก แม้แต่ผักสดๆ ก็ยังหาไม่เจอนะ
เมนูนี้ของเพื่อนร่วมทริป บะหมี่ผัดใส่ผัก ดูจะมันๆ และจืดๆ หน่อย อาหารบนเขานี่ ส่วนใหญ่เราจะต้องใส่ซอสปรุงรส หรือน้ำพริกเพิ่มกันเอาเองนะ
ข้าวผัดไข่ หรือ Egg Fried Rice เป็นเมนูที่ทำง่ายและกินง่าย เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สั่งบ่อยมากเช่นกัน ถ้าใครชอบกินเผ็ดหรือกินอาหารรสจัด แนะนำว่า ควรเตรียมน้ำพริกไปเยอะๆ เลย ประเภทน้ำพริกนรก น้ำพริกสวรรค์ อะไรอย่างนั้นนั่นล่ะ เพราะการกินอาหารอร่อยๆ จะได้ทำให้เรามีแรงเดินต่อไป
อาหารมื้อเช้าที่ต้องสั่งไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน และผู้ช่วยไกด์จะเป็นคนคอยไล่ถามทีละโต๊ะตอนที่เรากินมื้อเย็นกันอยู่ คิดดูสิ มื้อเย็นยังไม่ทันย่อย ก็ต้องสั่งของมื้อเช้าเอาไว้แล้ว บางคืนก็นึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี บางวันที่เดินมาเหนื่อยๆ ก็รู้สึกเบื่อที่จะคิด
จำไม่ได้ว่าเมนูนี้เรียกว่าอะไร ก็เซ็ตนี้คือ 2 เมนู ไข่ต้มนี่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีสำหรับคนที่ต้องใช้พลังงาน แต่ราคาไม่ถูกเลยนะ ยิ่งขึ้นไปที่สูงๆ อาหารเมนูไข่ๆ ยิ่งแพง ไม่ต้องเดาว่าเป็นเพราะอะไร ก็กว่าเค้าจะแบกขึ้นไปได้เนอะ
***ราคาไข่ต้ม 2 ฟองที่เราเจอมาตลอดเส้นทาง Everest Base Camp นี้คือ 300 – 550 รูปี คิดเป็นเงินไทยง่ายๆ ด้วยการเอา 3 หาร เป็นไงล่ะ ไข่ต้ม 2 ฟอง ปาเข้าไป 100 – 185 บาทเลยทีเดียว
มื้อกลางวันระหว่างทางเดินจาก Phakding (2,620m.) ไป Namche Bazar (3,440m.)
เมื่อไม่รู้จะสั่งอาหาร มื้อนี้เราเลยกินดาลบัตกันอีกรอบ และความพิเศษของคนที่สั่งดาลบัตคือ คุณจะได้กินแบบบุฟเฟ่ต์ เติมได้ไม่อั้นจนกว่าจะอิ่ม ทั้งข้าว ผัก และซุปเลยจ้า มันดีตรงเนี้ย แต่ก็กินจานนี้จานสุดท้ายล่ะ ดูจะไม่ใช่ทางของเรา ถ้าใครที่กินเยอะๆ สั่งเมนูเลย คุ้มแน่นอน เพราะแค่ข้าวเปล่าจานเดียวก็ปาเข้าไปร้อยกว่าบาทแล้ว บางที่ทะลุขึ้นไปถึง 200 บาทเลยทีเดียว แต่ดาลบัตจานนี้ที่เรากิน 495 รูปี (165 บาท)
“พิซซ่า” ที่ร้านไหนๆ ก็ดี ถ้ายังขึ้นเขาไปไม่สูงนัก ก็จะมีเนื้อสัตว์เยอะหน่อย ส่วนใหญ่ก็เป็นทูน่ากระป๋องนี่ล่ะ หาได้ง่ายที่สุด
“Tibetan Bread” หรือขนมปังทิเบต ทีแรกที่เห็นเมนูนี้ก็แปลกใจว่าจะหน้าตายังไง ความสนุกของการสั่งอาหารในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยมันก็จะลุ้นๆ หน่อย เพราะบางครั้งจะถามไกด์ก่อนสั่งแล้ว แต่ก็ยังนึกหน้าตาไม่ออกอยู่ดี
เมนูนี้พวกเราลงความเห็นว่า เหมือนซาลาเปาทอด (ที่ขายคู่กับปาท่องโก๋นะ) แต่ถ้ามีนมข้นหวานให้จิ้มสักหน่อย จะอร่อยมากกกก เอ้าว่าแล้ว ใครจะลองพกนมข้นหวานขึ้นไปชิมกับเมนูนี้ก็ได้นะ เพราะบนเขาเค้าไม่มีให้จ้า
เมนูอาหารพร้อมราคาของร้านนี้ น่าจะเป็นร้านเดียวที่เราถ่ายรูปมา เพราะอย่างที่บอกตอนแรกว่า ทริปไหนที่จ่ายตังค์เอง บางครั้งก็ไม่ได้คิดที่จะเขียนรีวิว เลยไม่ค่อยได้เก็บรายละเอียดมาเนอะ
แปลงเป็นเงินบาทง่ายๆ ด้วยการเอา 3 หารนะคะ
เมื่อพวกเราที่มาจากพื้นที่ราบได้เดินเที่ยวที่สูงๆ มากกว่า 2,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ต้องจัดให้มีเวลาพักผ่อนเพื่อปรับสภาพร่างกายอย่างน้อย 1 วัน ไม่อย่างนั้นอาจโดน AMS เล่นงานได้ และพวกเราได้มาพักที่ Namche Bazar (3,440m.) ตรงนี้เหมือนเป็นจุดศูนย์รวมของคนที่จะเดินขึ้น Everest Base Camp เลย มีทั้งร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ใครขาดเหลืออะไรก็มาซื้อที่นี่ได้
หลังจากที่พวกเราเดินขึ้นไปขม Everest View Point กันแล้ว ก็มาหาของอร่อยๆ กินกันที่ร้าน Sherpa Barista Bakery & Coffee Shop ร้านพวกนี้จะดีตรงที่ให้ไช้ wi-fi ได้ฟรี (แต่สัญญาณก็ช้ามากกกกก) และบางที่จะได้ชาร์จไฟฟรีอีกต่างหาก (ปกติตามที่พักต่างๆ จะต้องเสียเงินค่าชาร์จไฟ/แบต)
หลังจากได้ชิมของเพื่อนร่วมทริปที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เราก็เลยสั่งตามบ้าง “BBQ Chicken Burger” ตัวขนมปังหนานุ่ม มีไข่ดาวตรงกลางให้อีกฟองนึง แต่เราว่าซอสมันชุ่มฉ่ำไปหน่อย กินไปนานๆ แล้วเลี่ยนอ่ะ แต่โดยรวมแล้วก็อร่อยดี
ทีแรกเห็น “ไก่ทอด” จานนี้แล้วนึกถึง Bonchon ไก่ทอดเกาหลีเลย แต่รสชาติมันต่างกันนะ เพราะของที่นี่เค้าใส่เครื่องเทศมาในซอสที่ราดๆ ด้วย กินคู่กับอาจาด ก็แปลกไปอีกแบบ
เหมือนร่างกายโหยหาของหวาน ไปเล็งเค้กในตู้อยู่ตั้งนาน ในที่สุดได้ “เค้กชอคโกแลต” มา 1 ชิ้น กินคู่กับ “ชอคโกแลตร้อน” อีก 1 แก้ว คนที่นี่เค้าไม่กินหวานกันหรืออย่างไร ขนาดเมนูของหวานก็ยังไม่ค่อยหวานเลย
“บราวนี่” ของเพื่อนร่วมทริป ก่อนเสิร์ฟเค้าจะเข้าไมโครเวฟให้มันอุ่นๆ หน่อย ลองชิมแล้วอร่อยดี ตัวแป้งนุ่มๆ ไม่กระด้าง สรุปว่า ถูกใจกว่าเค้กชอคโกแลตที่ตัวเองสั่งมาอีก
“เค้กไวท์ชอคโกแลต” ของเพื่อนร่วมทริปอีก 1 ชิ้น ตัวเนื้อเค้กหวานๆ สไตล์ไวท์ชอคโกแลตนี่ล่ะ แต่ครีมเยอะไปหน่อย
อาหารที่ Namche Bazar ยังพอมีเนื้อสัตว์ให้เห็นอยู่บ้าง และ “พิซซ่า” จานนี้ก็บาง กรอบ อร่อยใช้ได้เลย แอบไปชิมของเค้ามาหน่อยนึง ไม่ได้สั่งเองหรอก
จานนี้ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเป็น “Potato Soup” นอกจากข้าวแล้ว จะได้เห็นเมนูพวกมันฝรั่งเยอะอยู่เหมือนกัน
คิดอะไรไม่ออก ก็ “ข้าวผัดไข่” นี่ล่ะ ดูจะเป็นอะไรที่กินง่ายแล้ว ชอบตรงที่เค้าผัดมาแบบแห้งๆ ไม่มัน ไม่เยิ้มนี่ล่ะ และรสชาติส่วนใหญ่คือ จืด! แต่เราไม่ห่วง เพราะเตรียมซอสปรุงรสขวดเล็กๆ ไปด้วยอยู่แล้ว เหยาะเอาตามใจชอบได้เลย
ส่วนมื้อเช้าก็กินอะไรแบบง่ายๆ เพราะบางทีเช้ามากก็กินไม่ลง แต่ครั้นจะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะยังต้องเดินอีกหลายชั่วโมง “ขนมปังไข่ดาว” จานนี้แบ่งกัน 2 คน ส่วนเครื่องดื่มก็จะเป็น Ginger Lemon Tea หรือไม่ก็ Hot Chocolate สลับๆ กันไป
จะสั่งไข่เจียวก็ดูธรรมดาเกินไป แอดวานซ์ขึ้นมาอีกหน่อยด้วยการสั่ง “ไข่เจียวมะเขือเทศ” ถ้าอยู่บ้านเราคงให้ใส่หัวหอมด้วย ไข่เจียวร้อนๆ กินกับข้าวสวยที่โคตรแพงเลย ข้าวเปล่าบนเขานี่ แพงที่สุดที่เคยกินมา คือ 200 บาท!!! แล้วไม่ใช่ว่าจะได้เยอะนะ ได้มาแค่ทัพพีเดียวนั่นล่ะ ถ้าวันไหนเดินเหนื่อยๆ ต้องใช้พลังงานเยอะ พลังข้าวเปล่าก็ไม่เหมือนกัน
ระหว่างทางเดินจาก Lukla (2,840m.) – Dingboche (4,440m.) จะมีร้านขายเครื่องดื่มและอาหารอยู่ตามรายทาง ซึ่งพวกเราก็จะแวะตามร้านพวกนี้ล่ะ อาศัยพักเหนื่อยและเข้าห้องน้ำไปในตัว
เรื่องอาหารการกินบนเขานี่ก็ต้องระวังเหมือนกันนะ เพื่อนร่วมทริปบางคนเริ่มมีอาการท้องเสียหรือถ่ายบ่อยเข้าซะแล้ว อย่างว่าล่ะ วัตถุดิบบนนี้มันไม่ได้สดๆ ใหม่ๆ รวมถึงเรื่องความสะอาดด้วย เพราะน้ำกินน้ำใช้ก็น้อย และยังไม่สะอาดอีก
ทูน่ากระป๋อง ดูเป็นเนื้อสัตว์ที่น่าจะปลอดภัยมากที่สุดสำหรับการกินบนเขานี้แล้ว “เบอร์เกอร์ทูน่า” ของเพื่อนร่วมทริป ตอนเสิร์ฟมาก็ร้องว้าวกันใหญ่ เพราะมันก็ดูดีอยู่นะ แต่พอลองเปิดฝาดูเท่านั้นล่ะ มีทูน่าแปะมาให้แค่เนี้ย
เข้าสู่เมนูอาหารเบสิคของเรากับน้องร่วมห้องอีกแล้ว ใจจริงก็อยากกินข้าวเปล่ากับไข่เจียวนะ แต่พอลองรวมราคาดูแล้ว สั่ง 2 อย่างปาเข้าไปเกือบ 1,000 รูปีเลยทีเดียว ทำใจไม่ได้ เลยต้องสั่ง “ข้าวผัดไข่” และ “มาม่าเกาหลี” มากินคู่กันแทน
เห็นเข่งตอนที่ไกด์ยกมาเสิร์ฟแล้วนึกว่าจะกินเสี่ยวหลงเปาของร้าน Din Tai Fung เหอะ แต่เปิดออกมาคือเกี๊ยวซ่าเนปาล หรือ “Momo” นั่นเอง เข่งนี้เป็นไส้ผัก ตอนยกมาก็ยังควันฉุยอยู่นะ แต่ทำไมตอนกินมันเย็นชืดซะขนาดนั้นก็ไม่รู้ ส่วนน้ำจิ้มรสชาติคล้ายๆ ซอสมะเขือเทศ
ช่วงไหนเดินมาเหนื่อยๆ ไกด์ก็จะพาแวะร้านน้ำชาข้างทาง บางร้านก็วิวดีๆ มองเห็นภูเขาหิมะด้วย และด้วยความที่บนเขาอากาศเย็นจนถึงหนาว พวกเราก็เลือกที่จะนั่งตากแดดเพิ่มไออุ่นกันแบบนี้ล่ะ
หน้าตาของ “Ginger Lemon Tea” ก็เป็นแบบนี้ล่ะ น้ำขิงรสชาติอ่อนๆๆๆๆๆ ผสมกับเลม่อนเปรี้ยวนิดๆ “เค้าว่า” กินน้ำขิงช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่สูง (AMS) ได้ ตลอดเวลาที่อยู่บนนั้นเรากินไปหลายแก้วเลย มีราคาตั้งแต่ 150 – 300 รูปี
เนี้ย บางวันเราก็ได้นั่งกินข้าวกลางวันพร้อมกับวิวภูเขาหิมะแบบนี้ บรรยากาศดีมั้ย?
“มักกะโรนีชีส” ส่วนใหญ่เมนูมันก็จะซ้ำๆ กันแบบนี้อ่ะนะ คิดดูว่าต้องเดินทั้งหมด 11 วัน กินอาหารประมาณ 30 มื้อ สั่งจนไม่รู้จะสั่งอะไรแล้ว แถมบางมื้อยังถูกจำกัดให้กรุ๊ปนึงสั่งได้ 2 อย่าง เพื่อความรวดเร็วในการทำนี่ล่ะ
“ไข่ดาว” อยู่บ้านเราก็เป็นอาหารเบสิค แบบที่ให้กินบ่อยๆ คงจะเบือนหน้าหนี แต่อยู่บนเขานี่ถือว่าเป็นอาหารยังชีพกันเลย เพื่อนร่วมทริปบางคนถึงขนาดบอกว่า กลับไทยแล้วก็ห่างกันสักพักนะกับเมนูไข่ๆ เนี่ย
“ขนมปังทิเบตกับไข่เจียว” หากวันไหนเบื่อข้าวก็เปลี่ยนเป็นขนมปังกันได้ บางมื้อไม่อยากจะเรียกว่า “กินกันตาย” เลย แต่มันไม่รู้จะกินอะไรจริงๆ บางวันเหนื่อยถึงขนาดกินไม่ลง แต่ต้องกิน!!!
พวกเราเรียกแซนวิช แต่ร้านนี้เค้าเรียกเบอร์เกอร์ “ชีสเบอร์เกอร์” ชอบตรงที่เค้าเอาขนมปังไปปิ้งให้มันกรอบๆ ก่อน แต่กว่าจะเอามาเสิร์ฟมันก็ไม่กรอบแล้วนะ แถมของบางคนปิ้งเพลินไปหน่อย เกรียมเลย จานแค่เนี่ย 750 รูปี หรือ 250 บาท เป็นไงล่ะ ราคาอาหารบนเขาแพงเอาเรื่องเลยใช่มั้ยล่ะ
“Chocolate Roll” ทีแรกเห็นเมนูนี้ก็งงว่ามันคืออะไร ไม่อยากให้ความสงสัยอยู่กับเรานาน เลยต้องสั่งมาลองกินสักหน่อย ได้ความว่า มันคือชอคโกแลตแบบพวก Snickers Twix เอาไปห่อแป้งแล้วก็ทอด เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าไปในตัว แท่งนี้ 490 รูปี หรือ 165 บาท
ถ้าใครแอบเห็นห่อสีเงินๆ ที่อยู่หลัง Chocolate Roll ใช่ค่ะ เราเอามาม่าไปกินด้วย ก็ต้องอาศัยซื้อน้ำร้อนเค้าเอาอ่ะนะ ที่ Dingboche (4,440m.) ค่าน้ำร้อนกาเล็ก 500 รูปี
เป็นอีกหนึ่งวันที่มี Acclimatization Day ที่ Dingboche (4,440m.) ได้หยุดเพื่อปรับสภาพร่างกาย และก็ได้เติมของหวานเข้าสู่ร่างกายกันอีกวัน นอกจากนี้ก็ได้ถือโอกาสชาร์จแบตกับเล่นเน็ตฟรีด้วยนั่นเอง
เห็นร้านเบเกอร์รี่บนเขาส่วนใหญ่เค้าจะมีคำว่า “Homemade” ต่อท้ายด้วย เหมือนเป็นตัวดึงดูดให้พวกเราได้เข้าไปชิมกัน พวกเราจะสั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว และสั่งขนมมากินด้วยกัน โดนัท ไม่โอเค แป้งร่วนไป พายแอปเปิ้ล ใช้ได้ ถึงขนาดต้องบอกต่อกลุ่มคนไทยที่เจอกันในคาเฟ่ด้วย และเค้กชอคโกแลต ที่มันดูจะแห้งและเหมือนทำมาหลายวันไปหน่อย
ราคาขนมและเครื่องดื่มมื้อนี้
อย่าลืมเอา 3 หารเพื่อแปลงเป็นเงินไทยนะคะ
ติดใจเบอร์เกอร์จนต้องสั่งอีกรอบ ครั้งนี้เป็น “เบอร์เกอร์ผัก” ที่เค้าจะเอาผักไปทอดก่อน แล้วค่อยประกบด้วยขนมปังปิ้ง แม้บนเขาจะปลูกผักไม่ค่อยได้ แต่เค้าก็ยังอุตส่าห์เอาผักมาตกแต่งเบอร์เกอร์ให้มันดูดีขึ้นมาเนาะ ราคาเดิมคือ 750 รูปี (250 บาท)
“มันฝรั่งทอดกับไข่ทอด” อยู่บนเขามาหลายวัน เริ่มติดใจมันฝรั่งทอดอ่ะ เค้าจะหั่นมันฝรั่งให้เป็นแท่งใหญ่ๆ แล้วเอาไปทอด กัดได้แบบเต็มคำดี ไม่ต้องจิ้มซอสมะเขือเทศก็ยังอร่อย
มื้อนี้พวกเรารออาหารกันนานมากกกกก เพราะลูกค้าเยอะจนแน่นร้านไปหมด ใครว่าเอเวอร์เรสต์เบสแคมป์มายาก อย่าไปเชื่อ!!! เราไปช่วงวันจักรี-วันสงกรานต์เจอคนไทยเต็มไปหมด ยิ้มให้กำลังใจกันตลอดทาง
มื้อนี้โดนบังคับให้สั่งแค่ 2 อย่างนี้นี่ล่ะ ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “ข้าวผัดไข่กับมาม่าเกาหลี”
Lobuche (4,930m.) ที่พักของเราเข้าใกล้เอเวอร์เรสเบสแคมป์เข้าไปทุกที และที่นี่มี “น้ำซีบัคธอร์น” เห็นว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณด้วย จนได้จขนานนามว่าเป็น “The Beauty Treatment Fruit” แม้จะไปขึ้นเขาซะขนาดนั้น แต่เราก็ยังไม่ทิ้งเรื่องความสวยความงามนะ
ของตัวเองสั่งอะไรไม่รู้ จำไม่ได้ แต่แอบไปถ่ายของเพื่อนร่วมทริปมา “Chocolate Roll” สำหรับคนที่อยากกินของหวาน สั่งเลย ดีแน่นอน
มื้อกลางวันขากลับที่ไม่รู้จะกินอะไรดี และเหนื่อยมากๆ “ชอคโกแลตแพนเค้ก” 1 ชิ้นแบ่งกัน 2 คนนี่ล่ะ เอาอยู่ เห็นว่าร้านนี้เค้าชงชอคโกแลตร้อนอร่อย ดังนั้นเมนูอะไรที่เกี่ยวกับชอคโกแลตก็น่าจะอร่อยเหมือนกัน แต่ที่ไหนได้ แพนเค้กของเราถ้ามันไม่เป็นสีน้ำตาลเข้มๆ แบบนี้ กินแล้วก้ไม่รู้หรอกว่าเป็น แพนเค้กรสชอคโกแลต
เหนื่อยจนไม่ได้ถ่ายรูปอาหารซะหลายมื้อ บวกกับที่ส่วนใหญ่ก็จะกินแต่เมนูเดิมๆ ด้วย ผ่านมาจนถึงวันที่ 10 ของการใช้ชีวิตอยู่บนเขา ใกล้จะจบทริปแล้ววว มื้อกลางวันที่สั่งไปมี “มาม่าเกาหลี” แต่มื้อนี้พิเศษหน่อยตรงที่มีไข่ให้ 1 ฟองด้วย และราคาก็พิเศษเช่นกัน ชามนี้ 900 รูปี หรือ 300 บาทไปเลยจ้าาาา
ส่วนของเราสั่ง “Chicken Noodle Soup” นี่ก็ลองทำใจสั่งเมนูที่มีเนื้อสัตว์ดูนะ อยากรู้ว่าเค้าจะให้ไก่มามากน้อยขนาดไหน สรุปคือ ได้มา 3 เส้น กับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เหนียวๆ เหมือนยังต้มไม่สุกอ่ะ
ช่วงระหว่างทางจาก Tengboche (3,740m.) มา Namche Bazar (3,440m.) ที่ต้องใช้พละกำลังมหาศาล เพราะมันมีแต่ทางขึ้นที่โหดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนแทบอยากจะตะโกนออกไปว่า ทิ้งกรูไว้ตรงนี้เหอะ ไม่ไปต่อแล้ววววว
และด้วยความที่เราเดินรั้งท้าย ก็จะมีไกด์คอยตามประกบอยู่ ก็ถามว่า “Are you hungry? ว่าแล้วไกด์เลยพาแวะคาเฟ่ข้างทางเพื่อให้เติมพลังสักหน่อย แถมยังไม่ยอมให้จ่ายเงินเองด้วยนะ มารูปแบบนี้คือ เราต้องไม่เดินไปบ่นไปเหมือนที่ผ่านมาใช่ปะ เพราะต้องเกรงใจที่กินของเค้าไปแล้ว
“ครัวซองค์ชอคโกแลต” กับ “ชอคโกแลตร้อน” ทางร้านเอาขนมปังไปอุ่นให้ร้อนก่อน แต่มันเหนียวหนึบหนับไปหน่อย กินแล้วคอแห้งอ่ะ อิ่มแล้วก็เดินกลับที่พักกันต่อ เพื่อนร่วมทริปเค้าไปถึงโรงแรมกันแล้วมั้ง
กลับมาถึง Namche Bazar แล้ว วันนี้เราใช้เวลาเดินไปเกือบๆ 10 ชม. เลยทีเดียว วันนี้เหนื่อยจนกินอะไรไม่ลง ได้แต่ตอดชิมของเพื่อนร่วมทริปนิดๆ หน่อยๆ
“ไก่ผัดพริก” เมนูนี้ออกเผ็ดๆ นิดนึง จริงๆ ที่เนปาลเข้าก็กินเผ็ดกันนะ เห็นไกด์เอาพริกแบบคล้ายๆ พริกเผามาให้ชิมด้วย เผ็ดแบบแสบลิ้นเลยอ่ะ หลายๆ คนได้ชิมเมนูนี้แล้วติดใจ ถึงขนาดสั่งเป็นกับข้าวสำหรับมื้อเช้ากันด้วย
“Yak Steak” สเต็กเนื้อจามรีเหนียวนิดๆ แบบพอรู้ว่าไม่ใช่เนื้อหมูแน่นอน แต่ดีตรงที่ไม่มีกลิ่นสาบเลย ราคาไม่แรง พอๆ กับไข่ต้ม 2 ฟองบนเขาสูงๆ นั่นล่ะ
วันสุดท้ายขอเติมพลังด้วย “เกลือแร่เนปาล” หน่อย จริงๆ ซื้อมา 2 ซอง ได้มาจากร้านค้าที่ Namche Bazar ติดไว้ว่าซองละ 90 รูปี แต่พอดีเราซื้อของอย่างอื่นจากร้านนี้ด้วย เค้าเลยบอกว่า ถ้ายูจะเอา ไอขายให้ 2 ซอง 100 รูปี ราคาลดฮวบลงมาขนาดนี้เลย
ระหว่างทางไกด์พาแวะร้านน้ำชาอีกแล้ว สั่ง “Milk Tea” แบบจืดๆ มากินหน่อย จริงๆ เค้ามีให้เติมน้ำตาลด้วยล่ะ แต่เราขี้เกียจจะเติมแล้ว เลยกินไปทั้งอย่างนั้นล่ะ
ในที่สุดก็กลับมาถึงเมือง Lukla ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Everest Base Camp ซะที พวกเราจะนอนที่นี่กัน 1 คืน เพื่อที่ตอนเช้าจะได้รีบไปขึ้นเครื่องบินเล็กกลับกันแต่เช้า
เมืองนี้อาหารก็จะดูอุดมสมบูรณ์หน่อย ที่สั่งไปคือสเต็กไก่ย่างกับสเต็กไก่อบ แต่ได้มาหน้าตาแบบเนี้ย ผิดจากที่คิดไว้แต่ก็ต้องกิน หมดทางเลือกจริงๆ
ให้ดูราคาอาหารที่พวกเราสั่งมากินกันสักหน่อย อันนี้จำไม่ได้ว่าจากเมืองไหนนะคะ เผื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่จะมาเทรกกิ้งที่เอเวอร์เรสเบสแคมป์ จะได้เตรียมเงินมาถูก
สำหรับน้ำดื่ม เราซื้อที่บนเขานี่ล่ะ น้ำแร่ 1 ลิตร ราคาตั้งแต่ 100-300 รูปี ถ้าซื้อตามที่พักและร้านอาหารส่วนใหญ่แพงกว่าร้านค้าข้างทาง ลองเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อก็ได้ หรือถ้าใครอยากประหยัด แนะนำให้ใช้ “Aquatabs” ที่เป็นเม็ดฟู่ฆ่าเชื้อที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคที่มากับน้ำ 1 เม็ดใช้ได้กับน้ำ 1 ลิตร เราซื้อจากย่านทาเมล แต่ไม่ได้ใช้เลย ซื้อน้ำกินตลอด ทีแรกก็ว่า 100 รูปีก็ไม่ได้แพงมาก พอจ่ายไหว ที่ไหนได้ ลงมาในเมือง น้ำดื่มเหลือแค่ลิตรละ 25 รูปีเอง
เวลาเหนื่อยๆ เราชอบกินน้ำอัดลม เจอราคาบนเขาเข้าไปนี่ลมแทบจับ (แต่ก็กิน) ขนาด 500ml. ราคา 350 – 400 รูปี ในเมืองแค่ 75 รูปีเท่านั้น!!!!
หนทางนี้ยังอีกยาวไกล อย่าลืมติดตามกันต่อนะคะ จะพยายามเขียนให้เร็วที่สุดจ้าาาา
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายของทริปนี้เกือบๆ 80,000 บาท ไม่รวมค่าอุปกรณ์ก่อนไป ถ้าจับกลุ่มไปกันเองและติดต่อทัวร์ที่โน้นจะถูกกว่านี้ แต่พอดีเราไปคนเดียว เลยต้องเลือกซื้อทัวร์ไปจากเมืองไทยค่ะ
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2019.05.02