ทริปนี้เราเดินทางตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 โน่นแล้วนะ แต่เพิ่งจะมีเวลามาเขียนตอนที่เค้าปิดประเทศจนไปเที่ยวไหนไม่ได้นี่ล่ะ
ครั้งนี้เป็นการรวมกลุ่มบล็อกเกอร์ไปเที่ยวเบตงกันแบบที่มีคนเบตงคอยซัพพอร์ตทุกอย่าง ทั้งการเดินทาง ร้านอาหาร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยว
ส่วนชายหนุ่มที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษที่พาพวกเรากินอิ่ม เที่ยวสนุก นอนสบาย ก็คือ โกเอ็กซ์ หนุ่มเบตงที่รักบ้านเกิดเมืองนอน ทุ่มเทแรงกายเพื่อเบตงจริงๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อเรื่องเที่ยวได้เลยที่ “โกเอ็กซ์” เบอร์ 061-654-1519 หรือที่เพจ Go X Betong
พวกเรานั่งเครื่องบินมาลงที่หาดใหญ่ แล้วนั่งรถตู้จากหาดใหญ่ไปที่เบตงอีกที แต่ไม่ได้ไปตามเส้นทางรถโดยสารปกตินะ เพราะทางนั้นโค้งเยอะมาก แต่พวกเราไปทางด่านมาเลเซียแทน ซึ่งแบบนี้ต้องใช้พาสปอร์ตด้วย เพื่อที่จะประทับตราออกจากไทย – เข้ามาเลย์ – ออกจากมาเลย์ และเข้าไทยเป็นอันว่ามาถึงเบตง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เขาไม่เยอะ ไม่เวียนหัว ไม่เมาโค้งแน่นอน
ด้วยความที่ผิดแผนนิดหน่อย ทำให้พวกเรามาถึงเบตงกันประมาณ 5-6 โมงเย็นเลย หลังจากที่เช็กอินเข้าโรงแรมเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินไปที่ร้านอาหารกัน ถือว่าเป็นการสำรวจเมืองเบตงยามค่ำคืนไปด้วย
ก่อนจะมาเบตง เราก็แอบหวั่นๆ เรื่องความปลอดภัยอยู่เหมือนกัน แต่ก็เคยได้รับรู้ข้อมูลมาว่า “เบตงเป็นเมืองที่ปลอดภัย” ทำให้สบายใจได้ในระดับหนึ่ง และวันแรกที่มาเหยียบเบตง ช่วงแรกๆ ก็ยังต้องเหลียวซ้ายแลขวา ระแวดระวังภัยเหมือนทุกครั้งที่ไปเยือนต่างแดน แต่พอปรับสภาพได้ ทีนี้ก็หมดห่วงล่ะ
“บ้านคุณชาย (โกช้าง)” เป็นร้านอาหารชื่อดังของเมืองเบตงเค้าเลย มาแล้วต้องห้ามพลาด! อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักนัก เดินไปได้สบายๆ
“ไก่เบตง” เมนูที่อยู่ในหัวตลอดเวลาตั้งแต่ที่พี่จิบ (มาเรีย ณ ไกลบ้าน) ชวนมาเที่ยวเบตง ด้วยความที่ได้ยินชื่อนี้มานาน แต่ยังไม่เคยได้กินสักที ซึ่งพอได้กินแล้ว บอกได้เลยว่า คุ้มค่าแห่งการรอคอยจริงๆ ไก่เนื้อแน่น หนังกรอบ ราดด้วยซอสซีอิ้วขาว โป๊ะด้วยกระเที่ยวเจียวหอมๆ สมกับการที่เค้าเรียกไก่แบบปล่อยให้เติบโตเองตามธรรมชาติ ได้วิ่งเล่นเต็มที่ และต้องรอเวลาถึง 6 เดือนเลยถึงจะกินได้ ห้ามพลาดจริงๆๆๆๆๆๆ นะ
“ปลาพวงชมพูทอด” เป็นเมนูที่หากินยากจริงๆ ก็กิโลนึงปาเข้าไป 3 พันบาทเลย และถึงมีเงินก็ใช่ว่าจะได้กิน เพราะหายากมาก ซึ่งเค้าจะเอามาทอดและกินทั้งเกล็ดแบบนี้ อร่อยไปอีกแบบ
“ปลานิลสายน้ำไหล” ถ้าพูดถึงปลานิล ใครๆ ก็รู้จัก แต่ที่เบตงเค้าเลี้ยงแบบให้สายน้ำไหลผ่าน ทำให้ปลาสดและไม่มีกลิ่น แถมตัวนึงก็ใหญ่มากๆ ประมาณ 3-4 กก./ตัว เลย
“แกงส้มปลานิลสายน้ำไหลใส่ดอกดาหลา” นี่ก็เพิ่งจะเคยกินครั้งแรกเหมือนกัน รสชาติดีใช้ได้ อยากให้มีร้านอาหารแบบนี้อยู่แถวบ้านจัง จะไปฝากท้องทุกอาทิตย์เลย
ส่วนอีกเมนูก็คือ “ปลานิลลวกจิ้ม” เราว่า เค้าเข้าใจเอาของสดมาทำและให้เราได้ลิ้มลองรสชาติแบบที่แท้ๆ ไม่ต้องปรุงแต่งเยอะได้ดีมากๆ กินแล้วติดใจ
“สลัดผักน้ำ” ไงล่ะ ไม่เคยได้ยินชื่ออีกแล้ว เป็นผักพื้นบ้านของที่นี่เค้า ชิมแล้วต้องมีจาน 2 ต่ออ่ะ
2 คืนนี้ เรานอนที่ Modern Thai Hotel เบตง เป็นโรงแรมเล็กๆ แต่สะอาดสะอ้าน และนอนสบายมากๆ อยู่ใกล้กับวนเวียนนาฬิกาเบตงเลย
จองห้องพักได้จากเว็บนี้ >>> https://www.modernthaihotel.com/
วันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นไปชมทะเลหมอกกันแต่เช้า เห็นเค้าพูดกันว่า ที่ “อัยเยอร์เวง” นี่ เราจะได้เห็นทะเลหมอกกันทั้งปี เรียกว่า ไม่ต้องอาศัยดวงกันเลย มาเมื่อไหร่ก็ได้เห็น เดี๋ยวเราจะไปพิสูจน์กัน เพราะปกติเป็นคนไม่มีดวงเรื่องธรรมชาติสวยๆ อยู่ด้วย
จากที่พัก พวกเรานั่งรถออกมาเกือบ 40 นาที รถมาส่งถึงด้านบนที่ให้ชมหมอกเลย เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ได้ชมทะเลหมอกสมความตั้งใจ ไม่น่าเชื่อนะว่าภาคใต้จะมีทะเลหมอกสวยๆ แบบนี้ด้วย เห็นว่า ปีนี้ (2020) มี sky walk ให้เดินออกไปชมหมอกอย่างใกล้ชิดด้วย เห็นพี่ๆ เค้าถ่ายรูปกันมาสวยเชียว เอาไว้เราคงต้องกลับไปเก็บภาพอีกสักรอบ
นอกจากที่อัยเยอร์เวงแล้ว ที่เบตงยังมีจุดชมวิวทะเลหมอกสวยๆ อีกหลายแห่งเลย ไม่ว่าจะเป็น “ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต” ที่จะให้ดีควรขึ้นไปค้างแรมข้างบน แล้วตื่นมาดูทะเลหมอก กับอีกที่คือ “ทะเลหมอกสองแผ่นดินกาแป๊ะฮูลู” จะได้เห็นวิวทั้งเมืองไทยและมาเลเซียเลย
ตอนเช้าเราฝากท้องกันที่ร้านขายโรตีและโจ๊กตรงใกล้ๆ กับทางขึ้นไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ช่วงเช้าๆ กับโรตีร้อนๆ อร่อยดีเหมือนกันนะ สั่งกันเยอะแยะมากมายจนแม่ค้าคิดตังค์ไม่ถูกเลย
เผื่อใครเป็นสายกิจกรรม มาล่องแก่งกันหน่อยมั้ย ที่เค้าว่าที่นี่มีน้ำให้ล่องแก่งกันได้ตลอดทั้งปีเลยนะ ติดต่อที่ ล่องแก่งกำนันมณเฑียร โทร 088-505-2892 หรือ 086-298-4364 ได้เลย เค้าจะมีสอนวิธีการสอนภาคปฏิบัติก่อนที่จะล่องไปในน้ำจริงๆ ด้วย ค่าล่องแก่งคนละ 500 บาท
ล่องแก่งกลับมาเหนื่อยๆ เติมพลังด้วย “พิซซ่าหน้าปลานิลสายน้ำไหล” กันหน่อย เป็นพิซซ่าแบบบ้านๆ ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใครดี
มื้อกลางวันเรามาฝากท้องกันที่ร้าน “นพดลฟิชชิ่ง” ที่ร้านนี้มีบ่อตกปลาด้วย อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นเมนูปลานิลนี่ล่ะ และที่เราชอบมากที่สุดก็คือ “เกี๊ยวทอดไส้ปลานิล” แปลกและไม่เหมือนที่อื่นดี ถึงขนาดต้องขอเบิ้ลกันเลยทีเดียว
มาถึงเบตงทั้งที ก็ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันหน่อย ที่นี่ “อุโมงค์ปิยะมิตร” เป็นเรื่องราวของโจรคอมมิวนิสต์มลายา ที่หลบหนีการปราบปรามของรัฐบาลมาเลเซีย เข้ามาเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย – มาเลเซีย
การจะขึ้นมาถึงอุโมงค์ปิยะมิตรนี้ได้ ต้องใช้กำลังขากันนิดนึงนะ เดินขึ้นเนินเขาหย่อมๆ พอเรียกเหงื่อและต้องหยุดพักเหนื่อยกันหลายครั้งเลย
เดินเลยจากอุโมงค์ไปหน่อย จะมีต้นไทรขนาดยักษ์ อายุเป็นพันปีเลย ถ้ามาถึงที่นี่แล้ว ไม่ควรพลาดจริงๆ ต้องมาถ่ายรูปให้ได้นะ
สถานที่ต่อไปของเรา คือ “บ่อน้ำพุร้อนเบตง” บ่อจริงๆ นี่เค้าห้ามลงไปแช่ เพราะร้อนและอันตรายมาก แต่ด้านข้างๆ มีสระขนาดใหญ่ให้ไปนั่งแช่เท้ากันได้ และเป็นธรรมเนียมของบ่อน้ำพุร้อนที่จะมีไข่ให้ลวกด้วย แต่ไม่ใช่ลวกในสระที่เค้าแช่เท้ากันนะ มีเป็นบ่อเล็กๆ ให้หย่อนไข่ลงไปลวกกันได้
“สตรีทอาร์ต” เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เช่นกันสำหรับการมาเที่ยวเบตง ต้องยอมรับว่าที่นี่เค้าทำไว้ดีมากๆ มีอยู่หลายจุดทั่วเมือง ถ้ามีกิจกรรมแบบให้สะสมแต้มเก็บภาพสตรีทอาร์ตเบตงด้วยน่าจะสนุกไม่น้อย
รูปสตรีทอาร์ตที่เอามาลงนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เห็นว่าช่วงหลังๆ มีศิลปินชื่อดังลงไปวาดรูปที่เบตงอีกเพียบเลย ถ้าใครไปเที่ยวเบตงแล้ว อย่าลืมเก็บภาพกันนะ
“ต้าเหยิน” (กิตติ) เป็นอีกหนึ่งร้านที่อาหารเบตงอร่อยมากๆ เดินเข้าไปนี่คนนั่งกันเต็มร้านเลย แสดงว่าเป็นร้านชื่อดังของเมืองนี้เลยนะเนี้ย มีทั้งคนเบตงเอง และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียด้วย
ผัดหมี่เหลืองเบตง เคาหยก และไก่เบตง เป็นเมนูที่ห้ามพลาดเลยสำหรับร้านนี้ จริงๆ ยังมีอาหารขึ้นชื่ออีกหลายอย่างที่อยากชิม แต่อาหารเค้าจานใหญ่มาก อย่าเผลอสั่งมาเยอะนะ กลัวกินไม่หมด
ยังเที่ยวเบตงได้ไม่ทั่วเลย แต่เราต้องกลับซะแล้ว เพราะมีทริปอื่นรออยู่ เช้านี้จึงมากินติ่มซำที่ร้าน “เซ้งติ่มซำ” ที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่พักเลย เปิดกันแต่เช้าเลย เมนูติ่มซำอาจจะดูเหมือนๆ ร้านทั่วไป แต่ที่พิเศษคือ ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่มาเป็นแผ่นแล้วหั่นเป็นเส้นๆ ราดด้วยน้ำซอสเค็มๆ หวานๆ กินกับชาเก๊กฮวย ตัดเลี่ยนได้ดีเลย
เวลา 2 วัน 2 คืนที่เบตงนี่น้อยเกินไปจริงๆ ถ้าใครจะมาเที่ยวเบตง แนะนำว่า ควรมีเวลาอย่างน้อยๆ สัก 4 วัน 3 คืนน่าจะกำลังดี เพราะแค่เดินทางไป-กลับ ก็หมดเวลาไปเกือบทั้งวันแล้ว และเบตงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ อีกมากมาย อยากให้เที่ยวแบบเจาะลึก จะได้ดื่มด่ำกับความเป็นเบตงได้เต็มๆ
ร่ำลาเบตงกันไปด้วยบรรยากาศตลาดยามเช้า กับภาพสตรีทอาร์ตที่บอกเล่าเรื่องราวความเบตงในมุมนี้กันก่อน เอาไว้ต้องหาโอกาสกลับมาเยือนอีกรอบให้ได้เลย ได้ข่าวว่า สนามบินเบตงก็ใกล้จะเปิดให้บริการแล้วด้วย ไม่รู้ว่าค่าตั๋วจะแพงมั้ย
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2020.08.17