เราใช้ Hyperdia ในการวางแผนการเดินทางทั้งหมดในญี่ปุ่น
สามารถตรวจสอบตารางเวลาเดินรถไฟ ระยะเวลาการเดินทาง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ในที่เดียว
ซึ่งเช็กได้จากทั้งทาง website และ application
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากที่นี่ >>> วิธีการใช้ Hyperdia.com
พาสการเดินทางในญี่ปุ่นก็เป็นอีกเรื่องที่ชวนงงไม่น้อย ไม่รู้จะซื้อแบบไหนถึงจะคุ้มค่า
การวางแผนการเดินทางจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้ว่าต้องซื้อพาสแบบไหน
เราแพลนไว้ว่า จะเที่ยวแถว Osaka , Kyoto , Kobe , Hiroshima และเลยไปถึง Shirakawa-go ด้วย
ก็ซื้อแบบพาสใหญ่ คือ Japan Rail Pass ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป
เราซื้อผ่านเว็บไซต์ของ KKday ทางลิงก์นี้ >>> http://bit.ly/jrpass1
ซึ่งเค้าจะส่ง voucher มาให้ถึงที่บ้านเลย เรามีหน้าที่แค่เอาไปแลกเป็น pass ตอนไปถึงญี่ปุ่นแล้วเท่านั้นเอง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JR Pass ชนิดต่างๆ คลิกที่นี่
ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถไฟ JR ซะเป็นส่วนใหญ่ จึงเลือกที่พักใกล้ๆ กับ JR Shin-Osaka Station ซะเลย
จะได้ไม่ต้องเดินทางหลายต่อ และไม่ต้องเผื่อเวลาตื่นเร็วขึ้นด้วย (ชอบตรงนี้)
วิธีการไปเกาะมิยาจิม่า
1. นั่งชินคันเซน จาก JR Shin-Osaka → JR Hiroshima ระยะเวลา 90 นาที
2. ต่อรถไฟสาย JR Sanyo Main Line จาก JR Hiroshima → JR Miyajimaguchi ระยะเวลา 30 นาที
3. เดินไปขึ้นเรือเฟอรรี่ประมาณ 10 นาที
4. นั่งเรื่อเฟอรรี่จาก JR Miyajima Ferry → Miyajima ระยะเวลา 10 นาที
รายละเอียดวิธีการเดินทางเพิ่มเติม >>> http://www.miyajima.or.jp/english/access/access.html
พอออกมาจากสถานี JR Miyajimaguchi
เดินตามป้ายทางไปท่าเรือเฟอรี่ JR Miyajima Ferry ได้เลย
หรือจะเดินตามคนอื่นๆ ก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาสถานีนี้ก็จะข้ามเรือไปเกาะ Miyajima นี่ล่ะ
เรือเฟอรี่ขนาดใหญ่ สะอาดสะอ้าน มีที่นั่งเยอะมาก
แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยนั่งที่ด้านในกันหรอก นี่ขนาดหนาวๆ ยังออกมาถ่ายรูปชมวิวกันด้านนอก
เริ่มมองเห็นเสาโทริอิสีแดงใหญ่ๆ แล้ว
เสียดายว่าไม่มีเลนส์เทเล ดึงซูมมาได้แค่นี้เอง
เล่ามาตั้งนาน ลืมบอกไปว่า
เกาะ Miyajima อยู่ในเขตจังหวัด Hiroshima ภูมิภาค Chugoku หรือภาคตะวันตกของญี่ปุ่น
เมืองที่เคยโดนระเบิดปรมาณูถล่มเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นล่ะ
และระเบิดลูกที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิม่ามีชื่อเล่นว่า “เด็กน้อย” หรือ Little Boy แต่อำนาจทำลายล้างสูงมาก
มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน (นับถึงปลายปี 1945)
เมื่อมาถึงบนเกาะ Miyajima เราเริ่มเดินไปตามทางที่มีร้านค้าก่อนเลย
และพี่เอ็ม (พัก…สบาย) ได้บอกไว้ว่า
“ถ้ามาถึงที่นี่แล้ว อย่าลืมชิมหอยนางรมสดๆ หวานๆ นะ”
อ่ะ..เดินเห็นร้านแรกก็จัดไปก่อนเลย เห็นหลายคนกำลังยืนรอซื้อกันอยู่
แต่ๆๆๆๆๆๆๆ อยากจะบอกว่า อย่าพลีพลามรีบร้อนกินเหมือนเรานะ
พอเดินไปเรื่อยๆ ร้านค้าข้างในขายถูกกว่าร้านนี้อีกอ่ะ เศร้าเลย
ร้านนี้หอยนางรม 2 ตัว 500 yen (195 THB)
หอยนางรมของเค้าทั้งสดและหวานจริงๆ
แต่ด้วยความที่เป็นคนกินรสจัด ก็ยังแอบคิดถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดอยู่อ่ะ
นี่เลยต้องใส่เลมอน และพริกป่นเยอะๆ ลงไปแทน
ด้วยความที่มาคนเดียวเลยไม่ต้องรอโต๊ะนาน พอถึงคิวก็เดินขึ้นไปบนชั้น 2 ของร้านกันเลย
โชคดีว่า เมนูของร้านนี้มีรูปให้ดูด้วย สั่งตามรูปที่อยากกินไปเลย
เราสั่งเซ็ต No.1 ของทางร้าน
มีทั้งหอยนางรมย่าง หอยนางรมทอด และข้าวหน้าหอยนางรม
ราคา 2,150 yen (840 THB)
มาถึงที่นี่ยังไม่ถึง 1 ชม. จ่ายค่ากินไปแล้วเกือบ 1,000 บาท!!!
หอยนางรมที่เห็นเค้าย่างอยู่หน้าร้านเมื่อกี้
ในที่สุดก็ได้กินแล้ว
ข้าวหน้าหอยนางรม ไม่รู้ว่าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร
สรุปว่าวันนั้นเรากินหอยนางรมไปคนเดียวเกือบ 10 ตัว!!!
กินอิ่มแล้ว เริ่มต้นเดินเที่ยวได้สักทีนะ
จากบริเวณร้านค้าเดินตรงมาเรื่อยๆ ผ่านเสาโทริอิแบบนี้ก่อนที่จะไปถึงริมทะเล
อากาศช่วงปลายเดือนธันวาคมยังไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่
พอเดินเที่ยวได้สบายๆ เลย
ช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ ที่เราเดินไปถึงเสาโทริอิสีแดงนี้ น้ำกำลังขึ้นมาเรื่อยๆ
เกาะมิยาจิม่า หรือเกาะที่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้า
ได้รับสามดาวจาก Michelin Guide
ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ที่มีวิวสวยงาม 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น
***อยากรู้ว่าสวยขนาดไหน ต้องไปหาดูจากที่อื่นเอาเองนะ เราถ่ายรูปมาได้สวยแค่นี้เอง ขออภัย***
เป็นที่ตั้งของ Itsukushima-jinja Shrine
ศาลเจ้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนป็นมรดกโลกด้วย
เสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่นี้ สูงถึง 16 เมตรเลยทีเดียว ตั้งอยู่บนทะเล
และเป็นหนึ่งในเสาโทริอิที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
นี่ขนาดยืนดูอยู่ห่างๆ ยังรับรู้ได้ถึงความใหญ่โตของเสาโทริอินี้
มิน่า ตอนนั่งเรือเฟอรี่ข้ามมา ถึงได้มองเห็นเสาโทริอิสูงเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของการมาเที่ยวเกาะมิยาจิม่า ก็คือ
Itsukushima Shrine หรือศาจเจ้าลอยน้ำ
ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อปี 1996
สำหรับการเข้าชมศาลเจ้านี้ต้องจ่ายเงินค่าผ่านประตู 300 yen
แต่เรามีเวลาน้อย ก็เลยได้แต่ยืนถ่ายรูปอยู่บริเวณข้างนอกเท่านั้น
Itsukushima Shrine (ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ)
เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 16
โดยผู้ทรงอิทธิพลในยุคนั้น คือ Taira No Kiyomori
สมัยก่อนเชื่อกันว่า เกาะมิยาจิม่าเป็นเกาะของเทพเจ้า ห้ามผู้หญิงขึ้นเกาะ และห้ามไม่ให้มีคนเกิดหรือเสียชีวิตภายในเกาะ
เพื่อไม่ให้เลือดหรือความตายของมนุษย์แปดเปื้อน
แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประจำจังหวัดฮิโรชิม่าเลย
และที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะมิยาจิม่า
ก็คือ เหล่ากวางน้อย พวกนี้นี่ล่ะ
แต่ต้องระวังน้องเค้านิดนึงนะ อ่านเจอหลายรีวิวบอกว่า น้องกวางชอบมาฉกของที่อยู่ในมือ
แอบดุนะเนี้ย
เมื่อมาถึงที่นี่ ก็ต้องไม่พลาดเดินถนนสายชอปปิ้งโอโมเตะซันโด (Miyajima Omotesando Shopping Street)
มีร้านรวงขายทั้งของกิน และของที่ระลึกของเกาะมิยาจิม่าอยู่บริเวณนี้
แต่เรายังต้องเดินทางอีกหลายวัน ได้แต่ตุนของกินลงท้อง ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย
“โมมิจิมันจู (Momijimanju)” อาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองฮิโรชิมา
มันจูนั้นเป็นขนมก้อนเล็กที่มีแป้งด้านนอกห่อไส้ต่างๆ ไว้ด้านใน
โมมิจิแปลว่าใบเมเปิ้ล ดังนั้นตัวขนมจะทำออกมาเป็นรูปใบเมเปิ้ล
และร้านที่เค้าบอกว่าขายขนมโมมิจิแมนจูอร่อยที่สุดคือ “Momijido”
ร้านนี้ขายแบบเป็น “อาเกะโมมิจิ” หรือโมมิจิมันจูทอดนั่นเอง
โมมิจิมันจูของร้าน Momijido มีไส้ให้เลือก 3 รส คือ ถั่วแดง ชีส และครีมคัสตาร์ด
ราคาชิ้นละ 180 yen (70 THB) แพงใช่เล่นเนอะ
ว่าแล้วเราก็ซื้อไส้ครีมคัสตาร์ดมาชิม 1 ขิ้น เพิ่งเอาขึ้นจากเตาทอดร้อนๆ เลย
เวลากินต้องระวังนิดนึง คือ ระวังทั้งขนมร้อน และระวังว่าเวลากัดๆ ไปแล้วขนมจะตกลงพื้น ^^
ร้านนี้เค้ามีชาเขียวทั้งร้อนและเย็นให้กดกินฟรีๆ ด้วยนะ
จริงๆ บนเกาะมิยาจิม่านี่ยังมีอีกหลายจุดให้เดินเที่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็น
– ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าชมวิวเมืองสูง
– เจดีย์ Gojunoto สูง 5 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์แห่งการแพทย์ 2 องค์ คือ Fugen-bosatsu และ Monju-bosatsu
– ศาลเจ้า Senjokaku หรือศาลเจ้า Toyokuni สถาปัตยกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นศาลาแห่งเสื่อ Tatami พันผืน
– มิยาจิม่าอควาเลี่ยม
ถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่ อย่าลืมเผื่อเวลามาเยอะๆ นะคะ
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
..หนึ่งพันไมล์..
2018.08.14