1. จอร์แดน (Jordan) เป็นประเทศในตะวันออกกลาง มีพรมแดนติดกับซีเรีย อิรัค ซาอุดิอาระเบีย และอิสราเอล
2. คนไทยเที่ยวจอร์แดนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า โดยไปขอ Visa on arrival (VOA) ที่ Queen Alia Airport ประเทศจอร์แดนได้เลย ค่าธรรมเนียม 40 JOD และอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน
3. ถ้ามีแพลนเที่ยวจอร์แดนอย่างน้อย 4 วัน 3 คืนเป็นต้นไป แนะนำให้ซื้อ Jordan Pass ไปเลยดีกว่า เพราะประหยัดและคุ้มค่ามากกว่า นอกจากไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ยังเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้ฟรีอีกด้วย โดยเลือกตามจำนวนวันที่จะเข้าไปเที่ยวในเพตรา
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.jordanpass.jo/
4. Royal Jordanian เป็นเพียงสายการบินเดียวที่ให้บริการบินตรงจากไทยไปจอร์แดน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชม. แต่ถ้าต้องการประหยัดเงิน ให้เลือกแบบที่มีแวะพัก 1 ครั้งก่อน ของเราบิน Etihad Airways แวะพักที่อาบูดาบี
5. จอร์แดนเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก ใช้เวลาเทียวประมาณ 5 – 7 วัน เวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวจอร์แดน คือ มีนาคม – พฤษภาคม และ กันยายน – ตุลาคม ซึ่งไม่ร้อนและหนาวจนเกินไป แต่ควรเตรียมเสื้อกันหนาว กับเสื้อกันแดดไปด้วยทุกครั้งดีกว่า ช่วงที่เราไป อุณหภูมิในแต่ละวันแตกต่างกันมาก อยู่จอร์แดน 8 วัน แต่ได้สัมผัสทั้งอากาศร้อน หนาว และหนาวมาก จาก 35 องศาอยู่ 3 วัน แล้วลดเหลือ 25 องศาอีก 2 วัน แล้วปิดท้าย 6 องศาอีก 3 วัน ยังดีว่า ติดเสื้อขนเป็ดตัวบาง ๆ ไปด้วย ก็เลยอยู่รอดมาได้
6. ที่จอร์แดน เราสามารถขับรถเที่ยวเองได้ง่าย ๆ โดยใช้ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเจนีวา 1949 (อายุ 1 ปี) รถที่นี่เป็นพวงมาลัยซ้าย ตลอดเส้นทางที่เราไป ส่วนใหญ่สภาพถนนดี ไม่มีหลุมขรุขระ ขับรถง่าย แต่เป็นคนนั่งสบายกว่า
7. เราจองรถล่วงหน้ากับ Arena Rent a Car มีให้ระบุว่าจะมีคนขับรถกี่คน (ราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนคนขับ) แนะนำว่าตอนจองให้ใส่ข้อมูลของคนที่จะเป็นคนขับรถเลย เพราะเค้าจะเอาข้อมูลไปลงทะเบียนไว้ก่อน ตอนรับรถเค้าจะขอถ่ายเอกสารแค่พาสปอร์ตกับใบขับขี่ของไทยเท่านั้น
ตอนเราจองรถ ใส่ข้อมูลตัวเอง แต่เพื่อนเป็นคนขับ และเราไม่ได้เอาใบขับขี่ไทยไปด้วย ก็เลยต้องทำเรื่องเพิ่มคนขับอีก 1 คน (ไม่สามารถเปลี่ยแปลงชื่อที่ได้ลงทะเบียนไปแล้ว) และจ่ายเงินเพิ่มไปอีก 35 JOD ค่าเช่ารถจ่ายด้วยบัตรเครดิต หรือทราเวลการ์ดได้เลย
ควรเก็บเอกสารเกี่ยวกับการเช่ารถไว้ให้ดี ตอนที่โดนตำรวจเรียก นอกจากใบขับขี่สากลแล้ว เค้ายังขอดูเอกสารการเช่ารถด้วย และระวังเรื่องความเร็วเกินกำหนดด้วย ตอนเราไปคืนเรา บริษัทรถเช่าจะเรียกดูในระบบได้เลยว่ามีใบสั่งรึเปล่า ของเราโดนเรื่องความเร็วไป 1 เคส ค่าปรับ 200 JOD
8. การแลกเงิน แนะนำให้แลก USD จากเมืองไทย แล้วเอาไปแลกเป็นเงิน JOD ที่จอร์แดน เราแลกเงินจอร์แดนที่สนามบินเลย เห็นบางคนบอกว่าเรทแพงกว่าในเมือง แต่พวกเราขี้เกียจไปเดินหาร้านรับแลกเงินแล้ว เลยแลกที่สนามบินให้จบ ๆ ไป (1 JOD = 50 THB)
แต่เราได้ลองเอาบัตร Travel Card ไปกดเงินที่ตู้ ATM ในสนามบินด้วย (ในบัตรใส่เป็นเงินบาทเอาไว้) ปรากฏว่า ได้เรทถูกกว่า แลก USD มา แล้วเอาไปแลก JOD อีกต่อนึงอีก คิดว่าน่าจะขึ้นอยู่กับ exchange rate ตอนที่เราแลกเงินมามากกว่า
9. สำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ พวกเราใช้ Local Sim ซื้อที่สนามบินเลย ยี่ห้อ Orange อินเทอร์เน็ต 20 GB โทรภายในประเทศและส่ง SMS ได้ไม่จำกัด ราคา 15 JOD
10. เราเที่ยวจากเหนือลงใต้ เป็นทริปชิลด์ ๆ ที่ใช้เวลาพักผ่อนมากกว่าเวลาเที่ยวอีก แต่ก็รู้สึกดีนะ เหมือนกับว่า อายุปูนนี้ ทำงานมาเหนื่อยแล้ว จะให้มาเที่ยวเหนื่อย ๆ อีกก็ไม่ไหวอะ
สรุปโปรแกรมคร่าว ๆ คือ
Day 1 : Bangkok – Amman
Day 2 : Amman – Madaba
Day 3 : Madaba – Dead Sea
Day 4 : Dead Sea – Wadi Rum
Day 5 : Wadi Rum – Petra
Day 6 : Petra
Day 7 : Petra – Amman
Day 8 : Amman – Abu Dhabi
ทางเราปรับโปรแกรมเพื่อจะให้ได้เที่ยว Petra by night ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันจันทร์ พุธ พฤหัสบดี ไม่รวมอยู่ใน Jordan Pass ต้องจ่ายเงินค่าเข้าเพิ่มต่างหาก คนละ 17 JOD
11. Petra นครศิลาสีกุหลาบ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวจอร์แดน เมื่อปี 1985 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก และปี 2007 ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ควรให้เวลากับที่นี่อย่างน้อย ๆ 1.5 – 2 วัน แต่คนที่ชอบเดินเทรล อาจจะต้องมีเวลามากกว่านี้ (Jordan Pass มีแพคเกจเที่ยวเพตรามากที่สุด 3 วัน)
12. ควรเตรียมร่างกาย และรองเท้ามาให้พร้อมสำหรับการเที่ยวเพตรา เพราะต้องเดินเยอะมาก มีขึ้นบันได และปีนป่ายเป็นบางช่วง ระยะทางไปกลับ ประมาณ 16 กม. และขึ้นลงบันได 1,600 ขั้น แต่ถ้าใครไม่ไหวจริง ๆ จะเลือกขี่อูฐ หรือดองกี้ (ลา) ก็ได้ แต่แลกกับค่าบริการที่สูง บางคนอาจไม่เห็นด้วยกับการขี่อูฐหรือดองกี้ เพราะเป็นการทรมานสัตว์
ส่วนพวกเราใช้เส้นทางลัด คือ วันที่เที่ยวเพตราเต็มวัน เอารถมาจอดที่หน้าทางเข้าเพตรา และนั่งแท็กซี่ไปลงที่ Little Petra ค่ารถ 10 JOD จากนั้นเหมารถจิ๊ป (รถกระบะ) มาลงตรงจุดเริ่มต้นเส้นทางเทรล ตรงนี้เราจะเข้าใกล้ The Monastery ที่สุด ค่ารถ 20 JOD โดยปกติต้องเดินขึ้นบันได 800 ขั้นเพื่อขึ้นมาถึงตรงนี้ แต่เราใช้วิธีการเดินลงเพื่อไปหา The Monastery ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. รวมแวะพักและถ่ายรูปตามรายทาง พอถ่ายรูปที่ The Monastery หนำใจแล้ว ก็เดินลงตามทางเพื่อไปที่ The Treasury ซึ่งเป็นการเดินย้อนเส้นทางจากคนทั่วไปนะคะ แบบนี้ช่วยให้ประหยัดแรงได้เยอะเลย
13. Dead Sea คือทะเลสาบน้ำเค็ม (ไม่ใช่ทะเล) มีน้ำที่เค็มที่สุดในโลก ซึ่งมีความหนาแน่นมากทำให้เราสามารถลอยตัวได้สบาย ๆ ไม่ต้องกลัวจมเลย ถ้าอยากลอยตัว และพอกโคลนในเดดซีแบบสะดวกที่สุด คือ ควรเลือกพักในโรงแรมที่มีหาดส่วนตัว จะได้เดินลงไปแช่น้ำได้เลย แต่ค่าโรงแรมโซนนี้ก็จะแพงมากเช่นกัน ถ้าไม่ได้พักในโรงแรม บางที่ต้องเสียค่าเข้าด้วย ทั้งนี้ไม่ควรแช่น้ำนานเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง โคลนของที่นี่พอกแล้วผิวนุ่มมาก แต่กลิ่นก็แรงมากเช่นกัน
Coral reefs คืออีกหนึ่งพิกัดทีอยากแนะนำให้มา เป็น public area ไม่ต้องจ่ายค่าเข้า มีเพิงเล็ก ๆ ให้อาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ต้องเดินลงไปไกลเหมือนกันนะกว่าจะถึงจุดที่ลอยตัวได้ แลกกับน้ำใส ๆ และวิวสวย ๆ เราว่าก็คุ้มอยู่นะ
14. Wadi Rum ทะเลทรายที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจอร์แดน บางคนเรียกว่า หุบเขาพระจันทร์ โด่งดังมาจากเป็นสถานที่ในการถ่ายหนังของฮอลลีวู้ด เช่น The Martian , Star Wars และ Prometheus การเข้ามาเที่ยวในทะเลทรายวาดิรัม นักท่องเที่ยวต้องจอดรถไว้ข้างนอก และทางที่พักจะจัดรถมารับเพื่อเดินทางเข้าไปในทะเลทรายอีกที ที่พักมีให้เลือกหลากหลาย แบบ Clear Bubble Tent ที่นอนดูดาวตอนกลางคืนได้ก็จะแพงหน่อย ของเราสายประหยัด เลยเลือกนอนกระโจมธรรมดา ห้องน้ำในตัว มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น
ทางที่พักมีให้เลือกซื้อโปรแกรมเที่ยวเพิ่มเติม ดูจากเวลาที่แพลนไว้แล้ว เราเลยเลือกแบบ Wadi Rum 5 hour tour ไป แต่ก็เผื่อใจไว้แล้วนะ ว่าไม่มีทางได้เที่ยว 5 ชั่วโมงเต็ม ๆ หรอก พวกนี้น่าจะตุกติกล่ะและก็เป็นอย่างที่คิด จริง ๆ ด้วย ต้องถกเถียงกันอยู่ยกใหญ่ให้พาไปตามโปรแกรมที่ตกลงกันไว้ คนขับก็มีข้ออ้างมากมาย บอกว่าฝนจะตกบ้าง ไกลบ้าง ไม่ทันบ้าง สรุปแล้วพวกเราได้เที่ยวแค่ประมาณ 3.5 – 4 ชม.เท่านั้นเอง แต่ต้องจ่ายราคาสำหรับ 5 ชม. ทำเอาเซ็งเลย
15. จากที่อ่านรีวิวก่อนไปเที่ยวจอร์แดน หลายคนบอกว่า อาหารที่นี่กินไม่ได้เลย พวกเราจึงเตรียมอาหารแห้งไปด้วย และเลือกโรงแรมที่มีครัวในห้องพัก จะได้ทำอาหารกินกันเองได้ ช่วงสงกรานต์ที่เราไปเที่ยว เป็นช่วงที่เค้าถือศีลอดพอดีเลย (แต่ละปีไม่ตรงกัน) ตอนรับรถเจ้าหน้าที่บอกว่า กลางวันที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินหรือลับขอบฟ้า ห้ามกินอาหารกลางแจ้งนะ อาจจะโดนตำรวจจับได้ (ไม่รู้จริงรึเปล่า) และช่วงกลางวัน ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็ปิดอีก ยกเว้นตามแหล่งท่องเที่ยว อาจจะมีร้านอาหารเปิดบ้าง แต่มินิมาร์ทเปิดทั้งวัน พวกเราแก้ปัญหาด้วยการ มื้อเช้ากินให้อิ่ม ๆ กลางวันกินขนม และไปหนักมื้อเย็นที่ร้านอาหารเปิดแล้ว เท่าที่เรากินตามร้าน มีทั้งอาหารท้องถิ่น และอาหารนานาชาติ ก็รับได้อยู่นะ ดีกว่าที่คิดเยอะเลย