เคยหลงมนต์เสน่ห์ที่ไหนสักแห่ง
ถึงขนาดต้องออกเดินทางตามหา
และไปเยือนบ่อยครั้งมั้ย?
เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เราเคยเห็นภาพ “นาขั้นบันได” เชียงใหม่ ที่เค้าเอามาลงรีวิวกันนี่ล่ะ จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า สักวันเราจะไปเก็บภาพ “นาขั้นบันได” เขียวขจี วิวสวยๆ แบบเค้าบ้าง
แล้วในที่สุด เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราก็ได้มาถึง “บ้านแม่กลางหลวง” ผืนนาขั้นบันไดยอดฮิตในสมัยนั้น ซึ่งบ้านแม่กลางหลวง อยู่ในบริเวณพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นชาวกระเหรี่ยงเผ่าปกาเกอะญอ
เมื่อมาติดต่อกันถึง 4-5 ปีแล้ว ยังไม่ค่อยได้รูปสวยๆ ถูกใจซะเท่าไหร่ ปีนี้เลยเปลี่ยนแผนใหม่ มานอนค้างบนดอยสักคืนนึงแล้วกัน เราชอบช่วงทุ่งนาสีเขียวๆ จึงเลือกเดินทางขึ้นไปวันที่ 13-14 กันยายน 2557 แต่ถ้าใครอยากได้ชอบทุ่งนาสีทอง แนะนำให้เดินทางในช่วงพฤศจิกายนนะคะ ทริปนี้เราไปตะเวนถ่ายรูปนาขั้นบันไดทั้งหมด 3 ที่ คือ บ้านแม่กลางหลวง บ้านผาหมอน และบ้านป่าบงเปียง
สำหรับนาขั้นบันไดทั้ง 3 แห่ง บ้านแม่กลางหลวง บ้านผาหมอน และบ้านป่าบงเปียง อยู่ในบริเวณพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่มาถึงยอดดอยอินทนนท์ ประมาณ 110 กม. เราสามารถแวะเที่ยวทุ่งนาขั้นบันไดได้ก่อนที่จะขึ้นถึงบนดอยอินทนนท์ แต่ด้วยความที่เป็นเส้นทางขึ้น-ลงเขา จึงต้องเผื่อเวลาเดินทางสักนิดนึง จากแผนที่บอกตำแหน่งคร่าวๆ ของที่นาทั้ง 3 แห่งนะคะ
เริ่มต้นที่แรก “บ้านผาหมอน” การเดินทางเข้าถึงยากลำบากนิดนึง เมื่อคืนฝนเพิ่งตก ถนนเละเป็นดินโคลนเลย และเป็นทางขึ้นลงเขาที่มีความชันด้วย ต้องรถกระบะ 4WD หรือมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เท่านั้น แต่ถ้าจะให้ดี ติดต่อเช่ารถกับคนในพื้นที่ให้เค้าพาเราเข้าไปเที่ยวจะดีกว่า
มุมมหาชนที่ “บ้านผาหมอน” ประมาณว่าถ้าใครมาที่นี่ ก็ต้องมาถ่ายรูปมุมนี้อ่ะนะ ถ้าได้นั่งๆ นอนๆ มองท้องนาเขียวๆ แบบนี้ คงจะสุขใจไม่น้อยเลย
บ้านนี้ชื่อ “Bamboo Pink House” เป็นบ้านพักที่วิวแจ่มที่สุดใน “บ้านผาหมอน” นี้เลย ถ้าใครสนใจ อาจจะต้องจองล่วงหน้ากันสักนิดนึง ช่วงนี้ใครๆ ก็อยากมานอนเล่นริมทุ่งนาแบบนี้อ่ะนะ บ้านพักราคาต่ำสุด 1,700 บาท (สำหรับ 2 คน) และสามารถรองรับได้สูงสุด 10 คน อาหารให้บริการด้วย แต่คิดราคาแยกต่างหากจากบ้านพักนะ ติดต่อที่ คุณสุรสิทธิ์ บ้านผาหมอน 081-166-4344
เราไม่ได้พักที่นี่ แต่ก็สามารถเข้ามาถ่ายรูปได้ ชาวบ้านที่ใจดีมากๆ ไม่หวงวิวพาโนรามางามๆ แบบนี้เลย
ลองเดินมาถ่ายรูปภาพมุมสูงของบ้านผาหมอนกันบ้าง จะเห็นว่าไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่พื้นที่ตรงนี้ก็นำมาซึ่งความสุขให้เราได้มากมายทีเดียวล่ะ แค่นาขั้นบันไดแห่งแรก ก็ทำเอาเราฟินเว่อร์แล้ว
จากบ้านผาหมอน เรากลับมากินข้าวกันที่บ้านแม่กลางหลวง บ่ายนี้โปรแกรมแน่นเอี๊ยด ต้องใช้พละกำลังไม่น้อยเลย ตุนซะให้เต็มที่ จะได้มีแรงเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันต่อขอกระซิบนิดนึงว่า อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลยล่ะ ไม่ใช่ว่าหิวนะ เพราะกิน 3 มื้อ ก็อร่อยทั้ง 3 มื้อเลย ฝนกระหน่ำลงมาในช่วงที่พวกเรากินข้าวกัน ก็ยังคิดๆ กันอยู่ว่าจะเอายังไงกับกิจกรรมภาคบ่ายดี เพราะยังเหลือเดินเที่ยวน้ำตก และนาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง
แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ลุยต่อกันเลยดีกว่า สำหรับเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกผาดอกเสี้ยว ต้องมีผู้นำทางด้วย ติดต่อได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิสาหกิจชุมชนก่อนและเลือกได้ว่าจะเดินแบบไป-กลับ 5 กม. ซึ่งจะเริ่มเดินไปชมน้ำตกแล้วกลับมาที่บ้านแม่กลางหลวงที่เดิม หรือจะเลือกแบบขาเดียวระยะประมาณ 2.5 กม. ซึ่งจะมีค่ารถเพิ่ม เพราะเค้าจะนำเราไปจุดเริ่มเดิน หลังจากนั้นจึงเริ่มเดินลงเพื่อไปชมน้ำตกและทะลุออกมาที่บ้านแม่กลางหลวงอีกครั้ง
ไฮไลท์ของการเดินเที่ยว “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” อยู่ตรงชั้น 7 นี่ล่ะ (เหมือนสวรรค์ชั้น 7 เลยเนอะ) เป็นชั้นที่น้ำตกไหลลงมากระทบชั้นล่าง และมีสะพานไม้สำหรับเดินข้ามลำธารอีกต่างหาก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “รักจัง” ที่ฟิล์มแสดงร่วมกับพอลล่าเมื่อปี 2549 จึงทำให้ที่นี่ได้รับขนานนามอีกชื่อว่า “น้ำตกรักจัง” ส่วนชื่อ “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” ก็มาจากชื่อ ต้นเสี้ยวที่เป็นไม้เด่นบริเวณน้ำตกนั่นเอง
ระหว่างเดินเที่ยว “น้ำตกรักจัง” กันอยู่ ฝนกระหน่ำลงมาอีกรอบ ถึงขนาดต้องกางร่มหรือใส่เสื้อกันฝนกันเลยทีเดียว เรากลับมาตั้งหลักกันที่แม่บ้านกลางหลวงอีกรอบ จะเอายังไงกับโปรแกรมต่อไปดี แถมเป็นโปรแกรมเด็ดสุดของทริปนี้ด้วยนะ
ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจเดินตามโปรแกรมเดิม คือ “นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง” เค้าบอกว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายรูปของที่นี่คือ ตอนเย็นๆ ช่วงที่มีลำแสงส่องลงมาจากฟากฟ้านี่ล่ะ
การเดินทางมาที่นี่ไม่ง่ายอีกเช่นกัน ต้องใช้บริการเจ้าถิ่นเค้าแล้วล่ะ เห็นเส้นทางบ้านผาหมอนอย่างนั้น จะบอกว่า ที่นี่ลำบากกว่า 3 เท่า ติดต่อที่ คุณวิชัย บ้านป่าบงเปียง 081-020-1691
*ปัจจุบัน ปี 2020 รถเก๋งเล็กสามารถวิ่งเข้าไปที่บ้านป่าบงเปียงได้แล้ว เป็นถนนคอนกรีตตลอดทั้งเส้น
แรกพบสบตากับที่นี่ ร้องออกมาได้คำเดียวว่า ว้าว ว้าว ว้าว ว้าว ว้าว !!!!!!!!!!
ขอบอกว่า สำหรับคนที่หลงเสน่ห์นาขั้นบันไดแบบเรา “บ้านป่าบงเปียง” เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เห็นวิวทุ่งนาเขียวๆ ที่ปลูกอยู่บนดอย ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย
วันนี้เมฆปกคลุมเยอะไปนิดนึง ไม่ได้เห็นแสงสีทองเลย พวกเรารอจนกว่าแสงสุดท้ายจะลับขอบฟ้า ถึงจะเดินทางกลับบ้านพักที่บ้านแม่กลางหลวงกัน ส่วนใครที่ไม่ได้พักบนนี้ แนะนำว่า ควรเผื่อเวลาสำหรับเดินทางกลับเข้าเมืองกันด้วย ด้วยความที่เป็นทางขึ้น-ลงเขา ต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกตินิดนึง และหัวค่ำ ท้องฟ้ามืดมิด อาจจะขับรถลำบากหน่อยสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยเส้นทาง
ที่บ้านป่าบงเปียงนี่มีบ้านพักด้วยนะ แต่การเดินทางและอาหารการกินอาจจะไม่สะดวกสบายมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศทุ่งนาขั้นบันไดอย่างเต็มที่ และถ่ายรูปให้จุใจกันไปข้างนึงเลย ติดต่อที่ มาฉิโพ บ้านป่าบงเปียง 081-020-1691
เมื่อคืนเรานอนกันที่ “บ้านแม่กลางหลวง” ตอนกลางคืนอากาศกำลังเย็นสบาย ไม่ต้องเปิดพัดลม ก็ยังอยู่ได้สบายๆ มาเที่ยวหน้าฝนก็ดีแบบนี้ล่ะนะ ไม่ร้อนอบอ้าว และไม่หนาวจนเกินไป แต่อาจจะเฉอะแฉะเพราะน้ำฝนสักนิดหน่อย แต่เราชอบเที่ยวช่วงนี้ บรรยากาศดี อากาศดี มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มไปหมด เหมาะกับคำว่า “Green Season” ที่สุดแล้ว
ถ้าเปิดหน้าต่างออกมาแล้วเจอบรรยากาศแบบนี้ทุกวันก็ดีสิ สีเขียวๆ ของทุ่งนา ทำให้จิตใจเราเบิกบาน แจ่มใส อากาศที่นี่ดีมาก จนอยากจะสูดเก็บเป็นสต็อกเอาไว้ในปอดเยอะๆ เลย
ถ้าอยากใช้เวลากับ “นาขั้นบันได” อย่างเต็มที่ ควรมีเวลาสัก 3 วัน 2 คืน หากใครมีเวลาไม่มากพอ จะมาแค่ 2 วัน 1 คืน แบบเราก็ได้ แต่จะบอกว่า มาแล้วไม่อยากกลับเลย อยากอยู่ที่นี่นานๆ ^^ เชียงใหม่มีที่น่าเที่ยวมากมาย
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางสะสมไมล์ต่อไปของเรานะคะ
หนึ่งพันไมล์ ?
2014.09.27